ไปเที่ยวกัน

ไปเที่ยวกัน"

เป็นการไปเที่ยวที่วางแผนเป็นปีเลยทีเดียว เขียนไม่ผิด "เป็นปี" นอกจากจะวางแผนเที่ยวเป็นปีแล้ว ยังเก็บเงินไปเที่ยวเป็นปีอีกด้วย ฮ่าๆ จริงๆอันนี้เป็น new year’s resoltion เลยก็ว่าได้ จริงๆ new year’s resolution ของกมลวรรณ ก็มีแค่ 2 ข้อนะ แล้วมันก็ทำท่าว่าจะเป็นเป็นจริงทั้ง 2 ข้อเลยก็คือ 1. หาที่เรียนต่อไม่ก็หางานทำให้ได้ 2. ไปเที่ยวที่ไหนซักที่ 
ดีนะ ที่รู้สึกตัวเร็ว เท่ากับว่ามีเวลาเตรียมตัวเป็นปีเลย

ที่ไม่ได้ใส่หัวข้อว่าไปเที่ยวที่ไหน เพราะไม่อยากให้มีคน search มาเจอ แล้วจะไปเห็นโพสต์เก่าๆ เผื่อไปอ่านแล้วจะรู้ว่าอีนี่บ้า

เล่าตั้งแต่ว่าเก็บเงินยังไงเลยดีกว่า ทำงานได้เงินเดือน 7,500 บาท 1 เดือน, 15,000 บาท 6 เดือน, 25,000 บาท 3 เดือน รวมทั้งสิ้นประมาณ 172,500 บาท แล้วก็ลบไป 7 หมื่นนิดๆ ให้เป็นค่าขนมแม่ ส่วนที่เหลือก็กิน ซื้อสกินแคร์ แล้วก็เหลือไปเที่ยวเท่าที่เห็นอ่ะ ทำงานมาเกือบปี เที่ยวเสร็จคือไม่มีเงินเหลือซักบาท complete มาก new year’s resolution ของชั้น ก็ไม่ได้เขียนไว้ว่าจะต้องมีเงินเก็บนี่นา ใช่มั๊ยล่ะ

คิดไว้วันที่ 2 มกราคม 2018 มั๊ง ว่าจะต้องไปเที่ยวที่ไหนซักที่ เลือกประเทศเรียบร้อย รัสเซียค่ะ อยากจะไปนั่งรถไฟสาย trans siberia ตอนแรกก็ไม่จักหรอก ย้อนไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2017 ตอนนั้นเหมือนจะได้งานทำที่จีน แล้วก็คุยในไลน์กลุ่มน้องอ.ที่ปรึกษาเดียวกัน น้องบอกดีเลยอ่ะ ถ้าเป็นหนูนะ วันหยุดจะไปนั่งรถไฟไปรัสเซียเล่น เลยแบบมาดู อ๋อๆ เออๆ น่าไป แล้วมันก็ยังค้างอยู่ในความคิดอยู่ ส่วนงานที่จีนเหรอคะ สรุปว่าอดแดก ขอวีซ่าไม่ได้ เป็นคนชั้นต่ำเกินไป 55555555 ตอนแรกตั้งงบไว้ 30,000 ในการไปเที่ยวรัสเซีย คิดว่าเอาค่าขนมที่พ่อให้มาเก็บๆ อาศัยว่าอยู่บ้านเฉยๆ กินข้าวบ้าน เงินไม่ต้องใช้ ขนมไม่ต้องกิน กินขี้ไป น่าจะพอมีเงินเก็บได้ไปเที่ยวอยู่บ้าง น่าจะเริ่มไปของานกับอ.ที่ปรึกษาทำได้ตอนเดือนมีนาคมมั๊ง เพราะเบื่ออยู่บ้าน ไม่มีอะไรทำ ตัวเองก็กดดันแล้วนะ หาที่เรียน่ตอไม่ได้ซักที พ่อกับแม่ก็ว่าเรื่องมากอีก สมัครเรียนต่อไปไหนให้จบๆไป ก็มุกอยากไปเที่ยวเมืองนอกอ่ะ มุกอยากไปเที่ยว เข้าใจมั๊ย 

พอไปขูดเลือดขูดเนื้ออ.ที่ปรึกษามาได้ ก็กลับมายิ้มกระหยิ่มใจ มีงานทำแล้วโว๊ย ทีนี่รายรับก็เพิ่มแล้วโว๊ย (ไม่บอกพ่อนะว่าไปของานทำกับอ. รับเงิน 2 ทาง จำเป็นต้องใช้เงินจริงๆค่ะ ฮ่าๆ) แล้วก็กลับมาเลือกประเทศต่อไป ไปเที่ยวไหนต่อดีน๊า (ที่แรกยังไม่ได้ไปเลย) มองการไกล ไกลมากกกกกกกกกกกก ก็เลยมาเลือกจากประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า ก๊อปชื่อประเทศมาวางใน google ดูรูป อันไหนสวยบ้าง แล้วก็มาเจอที่นี่ที่ฉันไปมานี่แหละ “GEORGIA” รูปสวยอ่ะ ประเทศอะไรไม่รู้ แค่ชื่อยังไม่คุ้นเลย คนทั่วๆไปเค้ารู้จักนะ แต่พอดีว่าตกสังคมไง ไม่ว่ากันนะ ความรู้สึกตอนนั้นคือ ไปจอร์เจียเลยได้มั๊ย ไม่ต้องไปแล้วรัสเซีย จอร์เจียสวยอ่ะ อยากไปๆๆๆๆๆ วอแวกับตัวเองอยู่ซักพักใหญ่ๆ แต่ด้วยความที่อยากไปนั่งรถไฟ คิดว่าการนั่งรถไฟชมวิวคนเดียว นั่นมันคือความโรแมนติกอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้ว 

เลยลองไปแว๊บๆดู จอร์เจียมันติดกับรัสเซียนี่นา ถ้าไปแล้วก็ไป 2 ที่เลยสิ คุ้ม บลาๆๆๆๆๆ หลังจากหาข้อมูลเรียบร้อยแล้วมันก็เลยกลายเป็นทริป จอร์เจีย - รัสเซีย Tbilisi, Kazbegi, Kaliningrad, St. Petersburg, Moscow ยิ่งใหญ่อลังการล้านแปดรวมเวลาเดินทางแล้วก็ 8-9 วัน สวยงาม

แต่แล้วแผนก็ต้องเปลี่ยน เมื่อได้งานทำตอนเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นงานที่ลาไปเที่ยวนานๆไม่ได้ จริงๆมันก็ได้แหละ เพราะเค้าหยุดตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม แต่คือ อยากกลับมาอยู่ปีใหม่กับที่บ้านไง งานปีใหม่ที่บ้านก็ไม่ได้จัดอะไรยิ่งใหญ่มากมาย เวลาผ่านไปคนเหลือน้อยลง งานก็เล็กลง เป็นแค่การกินข้าวกันเล็กๆน้อยๆ ก่อนจะแยกกันไปนอน แต่ก็นั่นแหละ เคยแบบ ญาติมาที่บ้าน แล้วลูกเค้าไม่ได้มาด้วย เพราะลูกเค้าขอไปเที่ยวกับเพื่อน เค้าก็ให้ไปแหละ แต่เค้าก็ดูเหงาๆนะ ตอนเห็นลูกๆคนอื่นอยู่บ้านกัน เลยคิดแทนแม่ ว่าแม่ก็คงจะอยากให้มุกอยู่ใกล้ๆแหละมั๊ง ก็นั่นแหละ เหตุผลประมาณนี้ 

เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่า 
ทริปนี้คือเราไปจอร์เจียมาค่ะ
เอาความรู้สึกก่อนไปนะ 
  1. ชั้นจะได้นั่งรถไฟ
  2. ชั้นจะได้เห็นหิมะ
  3. ชั้นจะได้เดินขึ้นเขา
  4. ชั้นจะได้กินขนมที่นั่น น่าอร่อยเพียบเลย โอ๊ยๆ ไม่แพงด้วย นับวันที่จะได้ไปเที่ยวรอแล้วเนี่ยยยยยยย
  5. ชั้นจะได้ไปดู Opera ครั้งแรกในชีวิตด้วย ในราคา 137.79 บาท *O*
  6. ชั้นอยากไปนั่งรถไฟสาย Borjormi - Bakuriani 
ต้องบอกก่อนว่าอันนี้คือเขียนก่อนที่จะไปนะ ว่างๆเลยเขียนเอาไว้ เพราะคิดว่ากลับมาคงมีอะไรให้เขียนอีกเยอะ กลัวจะขี้เกียจก่อนจะเขียนเสร็จ 

เอาจริงๆ จอร์เจียก็มีรีวิวเยอะแล้วนะ
แต่ก็มี 2-3 อย่างที่อยากเอามาเล่าให้ฟังเพิ่ม เพราะเห็นคนอื่นยังไม่ได้พูดถึงมากเท่าไหร่

สำหรับตัวเองเลย คิดว่าจอร์เจียก็ดูเป็นประเทศที่น่าไปนะ แต่ก็ดูไม่ได้มีอะไรให้ทำมาก ที่เห็นแล้วทำให้อยากไปเลยคือ Kazbegi จะเล่าว่า แพลนตอนแรกนะ ไป 23 ถึง 24 เช้า กลับ 27 กลางคืน แค่นี้ก็ต้องมาคิดแล้ว ว่าเวลาที่เหลือจะเอาไปทำอะไรดีวะ 24 เที่ยว Tbilisi 25 ไป kazbegi 26 กลับลงมา 27 ไปเก็บตกในมืองอีกนิดหน่อย เล็งๆจะไปแช่ sulfur bath อยู่ หาอะไรทำให้เวลามันหมดๆไป ก็คิดว่าไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่หรอก 4 วัน ค่าตั๋วเครื่องบิน 30,000 บาทเนี่ย แต่ก็คิดว่า เออ ก็มันมีให้ไปแค่นี้นี่หว่า

แต่พอเริ่มใกล้ๆจะไป ก็มารีวิวนู่นนี่นั่นเพิ่ม แล้วสถานที่ที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ก็เพิ่มมาอย่าง Zugdidi, Mestia, Ushguli, Gori, Msktheta, Borjormi, Bakuraini พรั่งพรูกันมา จริงๆก็จะมี Batumi อะไรพวกนี้ด้วย แต่ว่าไม่ได้ไปแถบนั้น คืออยากไปบนๆเหนือๆหนาว ดูธรรมชาติมากกว่า ก็มาจากรีวิวของคนไทยที่ไปเที่ยวกันมานี่แหละ อีนี่ก็แบบ ทำไมรีวิวพวกนี้ไม่ผ่านตากูเลยวะ สงสัยตอนนั้นดูไม่ดี แล้วก็มีรถไฟจาก Borjormi ไป Bakuriani นี่แหละ ที่เห็นจากใน IG แบบมันคือทางรถไฟสายไหนวะ ทำไมข้างทางมันดูสวยได้ขนาดนี้ หลังจากที่งมๆ หาเว็บนั้นทีเว็บนี้ที ไม่รู้ว่ารถไปมีรอบเท่าไหร่บ้าง  แต่พอหาไปหามาก็เจออันนี้ คือครบและจบเลยจ้ะ อันนี้เป็นปี 2018 ไม่รู้ว่า 2019 เวลาจะต่างไปจากนี้รึเปล่า คงต้องไปเช็คให้ชัวร์กันเอาเองนะ 




รูปเอามาจากเว็บไหนจำไม่ได้ แต่เจ้าของอย่าฟ้องเค้าเลยนะ เค้าช่วยโปรโมทการท่องเที่ยวให้อยู่นะ 

จากตอนแรกจะกลับวันที่ 27 พอที่เที่ยวมันเพิ่ม แล้วกลับช้าไปอีก 2 วันจ่ายค่าตั๋วเพิ่มไม่ถึง 10 บาท ก็อยู่ต่อสิคะ จะรออะไร เปลี่ยนเป็นกลับวันที่ 30 ตอนตี 2 แทน
ตั๋วรถไฟที่จองผ่านเว็บได้ก็มี 

Tbilisi - Zugdidi
Zugdidi - Tbilisi 
Tbilisi - Gori/Mtskheta
Gori/Mtskheta - Tbilisi 

นอกนั้นก็ไปซื้อเอาที่หน้าสถานีค่ะ 
แต่ด้วยความที่พยายามหาจองตั๋วรถจาก Tbilisi ไป Borjormi ก็ไปเจอเว็บที่ใช้จองตั๋วหลายๆอย่างในจอร์เจียรวมไปถึงค่าดูโอเปร่าในคืนวันที่ 29 ธันวาคม ก่อนกลับบ้านด้วยค่ะ อิอิ ก่อนไปก็ไม่รู้หรอกว่าการแสดงจะเสร็จกี่โมง แต่เริ่ม 19:00 คงน่าจะเลิกประมาณ 3-4 ทุ่มมั๊ง แล้วตรงนั้นก็เป็นที่รอขึ้นรถเมล์จาก 37 ไปสนามบินได้พอดี ที่คิดไว้ตอนแรกคือเย็นวันนั้นจะนั่งรถไฟจาก Mtskheta กลับมาถึง Tbilisi ประมาณ 17:25 แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรรอก่อนถึงเวลากลับบ้านดี ตอนแรกว่าจะไปกินข้าวเย็นร้าน  Barbarestan ก่อนกลับ คือถ้ามีเงินเหลือก็จะไปแหละ เพราะมันแพงมาก ถ้าไม่เหลือก็ไม่กิน ฮ่าๆ ส่วนตั๋วชมโอเปร่าก็ไม่ได้มีเปิดทุกวันนะ แต่ดันมีวันที่ 29 ช่างพอดีกับแผนเราจริงๆ 

จบละ พาร์ทนี้คือเขียนก่อนไปเที่ยว ที่คาดการณ์ก็จะประมาณนี้ ต่อไปเรามาดูกันว่า สถานการณ์จริงจะเป็นยังไงบ้าง

วันที่ 23 ธันวาคม 2561

ตื่นกี่โมงจำไม่ได้ จำได้แค่ไปขึ้นรถตู้ศรีราชาทัวร์ที่ตึกคอมรอบ 07:10 น. ถึงสุวรรณภูมิก็ประมาณ 8 โมงครึ่ง

โคตรของโคตรขี้เกียจอ่ะ จะมานั่งเขียนรีวิวอะไรนี่ แต่เอาวะ กลั้นใจ เผื่อมีคนกำลังจะไปเที่ยวจอร์เจียแล้วผ่านมาเจอ อาจจะได้เป็นไอเดีย 


จะใกล้จะไกล เราก็ไว้วางใจใช้บริการศรีราชาทัวร์ค่ะ


ปีที่ผ่านมานี้กินสตาบัคส์น้อยลงมา เพื่อเก็บเงินไปเที่ยวค่ะ ฟังดูดีมะ?



2 รูปนี้ เคยเห็นใน IG แว๊บๆ เก๋ดี แต่ก็ไม่ได้ใช้หรอก นอนไปแบบไม่ปิดตา เค้าก็สะกิดถามอยู่ดีว่าจะกินข้าวมั๊ย




พูดถึงเรื่องอาหาร ด้วยความโง่ คือก็รีเควสที่เป็นวีแก้นไปค่ะ เพราะไม่กินเนื้อวัว แล้วก็ไม่รู้ว่าเค้าจะมีอะไรให้กินเลยสั่งๆวีแก้นไป แต่ในใจก็แอบคิดว่า เออ แต่ขนงขนมนี่ก็คงได้กินเหมือนคนอื่นๆแหละ ที่ไหนได้ไม่ใช่ค่ะ ผักและผลไม้โอนลี่ แถมมีส้มโออีกต่างหาก ขี้ดีมากอ่ะ ดีเกินไป เลยไม่ได้กินเยอะ กลัวขี้แตก


หันไปดูข้างๆหน้าต่าง อุ้ย เกล็ดหิมะอ่ะ เกิดมาเพิ่งเคยเห็น ชอบๆ ถ่ายรูปเก็บไว้ดู ตอนนั้นน่าจะถึงประเทศอุซเบกิสถานแล้ว (ดูจากชื่อเมืองที่มันขึ้นบนโทรศัพท์อ่ะนะ)


อาหารวีแก้นเหมือนเดิม ไม่มีขนม ช้ำใจมาก T T


จริงๆตรงนี้มันมีหิมะ เลยจะถ่ายเก็บไว้ แต่ถ่ายไม่ทัน เลยเห็นแค่นี้อ่ะ เหมือนถ่ายอะไรมาก็ไม่รู้

จากกรุงเทพอ่ะ เครื่องมันออกช้าไป 50 นาทีได้มั๊ง แล้วต้องต่อเครื่องไง ลง moscow แล้วไป St. Petersburg ต่อ จากตอนแรกมีเวลาประมาณ 2 ชม. ก่อนจะขึ้นเครื่องรอบต่อไปตอน 3 ทุ่ม แต่กว่าจะถึงก็ล่อไป 2 ทุ่มแล้ว แบบไม่มีเวลาคิดอ่ะว่าจะต้องเดินไปทางไหน เห็นคนเค้าเดินไปทางไหน ก็เดินๆตามเค้าไป จำได้ว่าเหมือนจะลง terminal D แต่ต้องไปขึ้นที่ terminal B ดูจากแผนที่แล้วมันก็ไกลกันมากชิบหายเลยนะ แล้วกูจะไปยังไงวะ ก็พยายามถาม infomation ถามนั่นถามนี่ ถามทุกคน เค้าก็บอกว่าเดี๋ยวขึ้นไปชั้น 3 นะ อ่ะ ขึ้นมาชั้น 3 แล้ว แต่มันก็ยังเป็น terminal D อยู่เลย แล้ว B อยู่ไหนวะ ก็ได้คำตอบว่า B ก็ต้องเดินต่อไปอีก เดินๆๆๆๆๆ แล้วก็เดินลงไปชั้นใต้ดิน


พอลงบันไดเลื่อนมา อีนี่คิดว่า ถึงแล้วจ้า แถวๆนี้แหละ หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปได้ชิลๆ 


ดูคนจะรีบร้อนขึ้นรถไฟกันนะ สงสัยรถไฟเข้าเมืองมั๊ง แต่ชิบหาย ไม่ใช่จ้า! รถไฟไป terminal B ที่อีนี่ก็ต้องไปเหมือนกันแต่แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รีบอะไรเลย แต่ก็นั่นแหละ รอรถไฟมา คนเยอะมาก ก็เบียดๆกับเค้าเข้าไป ไม่งั๊น check in ไม่น่าทันแน่ๆ



กว่าจะถึง terminal B ปาไปเกือบ 2 ทุ่มครึ่ง แต่สุดท้ายเราก็มาถึงจนได้ค่ะ 



ระหว่างรอก็นั่งดูหิมะไปเพลินๆ อยากเห็นมากไง เกิดมาไม่เคยเห็น ก็ดูเข้าไปนะ 5555


บ๊ายบายมอสโคว


ดูตัวเองจะมีปัญหากับการสั่งของกินมากอ่ะ เค้าก็ถามแหละว่า coffee or tea อีนี่ตอบ water แม่ง คนสั่ง tea ได้เลมอนฝานบางๆมาให้ด้วย แบบหอมสดชื่นมาก กูพลาดอีกละ ก็ก่อนหน้านี้ เห็นคนสั่ง tea มันก็ไม่เห็นมีอะไรให้มาเลยนี่หว่า เซ็ง


สวัสดีค่ะ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก


ต้นคริสมาสที่นี่หรูสู้มอสโควไม่ได้

วันที่ 24 ธันวาคม 2561

มาค่ะ ปัญหากูมาอีกแล้วค่ะ เช็คอินเสร็จก็ไป passport control มันก็ติ๊ดๆ แล้วก็ทำหน้าหงุดหงิด บอกรอ 5 นาที ก็งงว่า มีปัญหาอะไรวะ แล้วก็เดินถือโทรศัพท์ไปไหนไม่รู้ ซักพักอีกคนเดินมา แล้วก็เอาไปติ๊ดใหม่ แม่งก็ทำหน้าเหมือนคนเดิมเลย บอก รอ 5 นาที อีนี่ก็งงหนักละ มีปัญหาอะไรวะ มันก็บอกว่า กระเป๋ายูเช็คอินไม่สำเร็จ อะไรคือเช็คอินไม่สำเร็จวะ ซักพัก มันก็เดินพาไปเข้าไป แล้วให้เค้าไปคุยกับตม. คำถามแรกเลย ในกระเป๋ามีอะไร กระเป๋ากู? มีอะไรวะ? ก็ตอบไปว่า ก็มีเสื้อผ้า สกินแคร์ แค่เนี๊ย แล้วก็ถามว่า เอาเงินมากี่บาท แล้วก็ถามอะไรอีกจำไม่ได้ แต่คือสำเนียงฟังยากอ่ะ ก็คงทำหน้างงๆแหละ มันก็อารมณ์ว่า เออๆ มึงจะไปไหนก็ไป เดินๆไปได้แปบเดียว เจออีกคนอีก คำถามแรกน่าจะบอกให้พูดภาษาอังกฤษมั๊ง ก็เลยถามว่า จะให้พูดคำว่าไรอ่ะ เค้าก็เลยเปลี่ยนคำถาม ว่าอะไรวะ มาคนเดียวเหรอ แล้วจะไปเที่ยวไหนบ้าง กลับวันไหน ฯลฯ รำคาญเลยถามถามว่าจะดูตั๋วกลับมั๊ย เดี๋ยวเปิดให้ดู พอดูเสร็จก็บอก วันที่ 30 กลับโดฮา กูเลยบอก แบ๊งค๊อก! อีเหี้ย เปิดให้ดูขนาดนี้ละ ยังเสือกดูไม่ครบอีก คือโมโหแล้วอ่ะ ตอนนั้น มึงจะเอายังไงกับกู กูผ่านไทย ผ่านมอสโควมาได้ กูกำลังจะออกจากประเทศมึงไปจอร์เจีย แล้วมึงจะอะไรกับกูเนี่ย สุดท้ายมันก็ให้ผ่านไปได้ ยังไม่จบ พอถึงหน้าเกท คนก่อนๆหน้ามันก็บอกว่า left sideๆ ทำไมตอนกู right side วะ อะไรกับกูอีก มึงจะส่งกูกลับประเทศเหรอ ก็เลยเดินไปบอกว่า ถ้ามีอะไรยังข้องใจเรื่องของในกระเป๋าอยู่ถามได้นะ มันก็บอก ไปนั่งรอก่อน บอกกูแบบนี้ ซักพัก เริ่มมีคนมาฝั่งเดียวกัน เริ่มมามากขึ้นๆ เลยคิดว่า คนโดนกรณีเดียวกับกูเยอะเลยเหรอวะ เริ่มมีเพื่อน สรุป มันต้องขึ้นรถเพื่อไปขึ้นเครื่องแล้วแบ่งเป็น 2 ฝั่ง แล้วทำไมมึงไม่บอกกูตั้งแต่ตอนแรกที่กูถาม แม่งให้คิดว่ากูทำอะไรผิดอยู่ได้ ก็คิดนะ ว่าสภาพกูเหมือนคนจะมาขายตัวเหรอวะ ถ้าขายตัว ทำไมมันต้องถามด้วยว่าในกระเป๋ามีอะไร แล้วในกระเป๋ากูมีไรอีกวะ ก็มีอาหารเสริม มีแผนที่รถไฟทั้งหมดในประเทศ หรือที่บอกให้กูพูดภาษาอังกฤษนี่ กลัวกูจะมาก่อการร้าย เออ ช่างมันเหอะ คิดไปก็ไม่รู้อยู่ดี ว่าที่คิดมันถูกมั๊ย พอๆ



ถึงแล้วค่ะ tbilisi ซื้อซิม แลกเงิน เดินออกมาขึ้นรถเมล์สาย 37 เดินออกมาข้างหน้า เลี้ยวขวา ถึงเลย บนรถเมล์มีที่ให้ชาร์ตโทรศัพท์ด้วย ดีจุงเบย








รูปก็จะประมาณนี้ ไม่สวย แต่ก็ตั้งใจถ่ายแล้วนะ แต่ก็ได้แค่นี้อ่ะ 









มา เรามารีวิวร้านอาหารร้านแรกกัน ชื่อร้าน Brotmeister ก๊อบมาไม่แบบคิดจะเปลี่ยนไซส์ตัวหนังสือซักหน่อยเลย 
พอขึ้นรถเมล์สาย 37 ใช่มะ เราก็ไปลง station square แล้วก็เปิด google map ดูว่าอีร้านนี้ มันต้องไปยังไงต่อ ก็ขึ้นรถเมล์สายไหนซักสายนั่นแหละ ขึ้นไปถึง ยังไม่มีบัตรจ้ะ ที่เค้าต้องเติมเงินในบัตรไว้จ่ายค่ารถอ่ะ มีแต่แบงค์แล้วอีนี่ก็ไม่มีแบงค์ ไม่มีห่าไรเลย เห็นผู้หญิงหน้าตาใจดีคนนึงเลยถามว่า ต้องจ่ายเงินยังไง มีแบงค์เนี่ย เค้าก็บอกว่า จ่ายด้วยแบงค์ไม่ได้หรอก ไม่มีทอน เค้าจ่ายให้แทน ใจดีอ่ะ อีนี่ขึ้นไปแบบ เสร่อสร่าอ่ะ กูมีเงิน กูแลกเงินมาแล้ว กูขึ้นไปนั่ง อารมณ์เหมือนเดินทางด้วยรถเมล์สายนี้เป็นประจำทุกวัน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ถึงร้านตอนเกือบๆ 9 โมง ร้านนี้นี่หามาจาก google แหละ breakfast in tbilisi บลาๆๆๆ อาหารที่สั่งมา พนักงานแนะนำมา เป็นกาแฟใส่นมใส่วิปครีม ดีงาม ดีแล้วดีอีก ชอบกินกาแฟใส่นมเป็นชีวิตจิตใจ แถมมีวิปครีมมาให้อีก ประสบความสำเร็จละสำหรับร้านนนี้ ส่วนอาหารก็ดี ตอนแรกคิดว่าจะกินไม่หมด เป็นไข่เจียวใส้ครีมชีสแซลมอน มีสลัดผักร็อกเก็ต น้ำมันงา น้ำส้มสายชู มะกอกดอง ประมาณนี้มั๊ง จำไม่ได้แล้ว ราคาก็ 300 บาทมื้อนี้ 





เออ รูปนี้ถ่ายไปให้พี่สาวดู เห็นต้นคริสมาสสีเขียวที่วางอยู่บนกล่องของขวัญสีแดงมั๊ย ในร้าน 20 บาทอ่ะมีขาย ก็ขาย 20 บาทอ่ะแหละ ป้าเคยซื้อมาให้เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วมั๊ง ตอนนี้มันไม่มีแล้ว ไปเจออีกทีในห้าง ขายต้นละ 149 บาท โอว้ แพงชิบหาย เห็นเลยรีบซื้อมาฝากพี่เลย แต่ไม่ได้ซื้อในร้านนี้หรอกนะ ข้างทางเค้าก็มีขายไซส์กลางต้นละประมาณ 35 บาท เลยซื้อมาฝากพี่ต้นนึง 

















สั่งแอปเปิ้ลพายมากิน ไม่เหมือนของที่ตัวเองทำเลย แป้งเค้าออกเนวเป็นแป้งเค้ก แล้วเค้าก็ไม่ใส่ชินนามอนเลย ก็แปลกดีนะ ทั้งๆที่อาหารอย่างอื่นกลิ่นเครื่องเทศแรงมาก ไม่ใช่ในขนม จริงๆคือจะไปชิมแหละ ว่าของเค้าหรือของตัวเองอร่อยกว่ากัน ไม่น่าถาม ก็ต้องของที่ตัวเองทำอยู่แล้ว หลงตัวเองขนาดนี้ 55555555










ก็เดินเล่นแหละ เดินเล่นในเมือง ก็เดินๆตามที่เค้ารีวิวมา ถูกจริตตัวเองบ้าง ไม่ถูกบ้าง ตอนเย็นๆก็ลองไปดูว่าสถานีรถไฟเค้าอยู่ตรงไหน ก่อนจะกลับเข้ามาเดินเล่นในเมืองต่อ เดินไปเดินมาก็กระหายน้ำใช่มั๊ย

นี่เลยค่ะ น่ารับประทาน เห็นหลายร้านละ ร้านนี้ละกัน น่ากินจริงๆเล๊ย น้ำทับทิมสดๆเนี่ย บอกเค้า ถามเค้าแก้วเท่าไหร่ เอาแก้วนึงค่ะ
เค้าก็เริ่มทำให้ ก็ถามว่า แก้วเท่าไหร่คะ ถามไปประมาณ 2-3 รอบ เผื่อเค้าไม่ได้ยิน พอเค้าทำเสร็จ ยื่นแก้วให้บอก 25 lari อีนี่ก็สตั๊นไปซักพักใหญ่ๆ 25 ลารี ห้องที่กูพักวันนี้ยังแค่คืนละ 20 ลารี อีป้าก็ประมาณว่า ราคานี้แหละ กินๆไป อร่อยนะ ตอนนั้นคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่ด้วย เพื่อนก็แบบ คืนมันไปดิ จ่ายเงินมันไปทำไม บอกมันดิ ไม่เอา กูนี่ลนละ อีเหี้ย เงินก็จ่ายไปแล้ว น้ำก็เอามาแล้ว แต่ยังไม่ได้กิน เอาไงดีวะๆ เดินไปข้างหน้านิดนึง เป็น tourist information เลยเข้าไปถามเค้าว่า น้ำแบบนี้อ่ะ รู้มั๊ยว่าแก้วละกี่บาท เค้าก็บอกว่าไม่รู้ ไม่เคยซื้อกิน แล้วยูซื้อมาเท่าไหร่ล่ะ เลยบอกเค้าว่า 25 เค้าเลยบอกว่าไม่ใช่ละ 10 ลารียังแพงไปเลย ก็เลยถามเค้าว่าแล้วเราทำอะไรได้บ้าง เค้าเลยแนะนำว่า ให้ไปขอใบเสร็จ บอกว่าถ้าไม่ให้ใบเสร็จจะบอกตำรวจ เอางั๊นเลยเหรอวะ เอางั๊นก็เอา เดินกลับไปหาอีป้าใหม่บอก ขอใบเสร็จ ถ้าไม่ให้ใบเสร็จจะบอกตำรวจ จริงๆอีป้านี่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้หรอก มันก็บอกว่าให้เอามาอีก 25 ลารี ประมาณว่าเอามาก่อนก็งง ว่าจะเอาไปทำไมแต่ก็ให้มันไป แล้วก็ยืนเถียงกับมันอยู่หน้าร้าน ซักพัก มันก็โมโหบอกเดินตามมา แล้วมันก็เอาเงิน 25 ลารีที่เอาไปรอบใหม่ กับเงินมัน 25 แลกเป็นแบงค์ 50 คืนมาให้ ตอนนั้นก็ยังงงไม่เสร็จนะ ว่ามันเอาเงินกูไป 25 ลารี จนแบบเพื่อนบอกว่าก็ถูกแล้วไง เธองงอะไรของเธอ เออว่ะ คือเสียศูนย์ไปเลยกู ความทรงจำแย่ๆกับน้ำทับทิม อีป้านี้ร้านมันอยู่ตรงถนนแถวๆ rustaveli ฝั่งเดียวกับรถไฟใต้ดิน ถ้าใครผ่านไปจะซื้อก็ถามราคามันให้ดีๆก่อน เฮ้อ กู จริงๆอีนี่กลัวก็กลัวแหละ เถียงกันไปเถียงกันมา กลัวจะโดนแทงด้วยด้วยมีดหั่นทัมทิบ มันทั้งคม ทั้งยาว ทั้งแหลมเลยนะ 





วันที่ 25 ธันวาคม 2561

มาค่ะ การเดินทางวันที่ 2 ของเรากำลังจะเริ่มขึ้น เมื่อวานตอนไปสถานีรถไฟ ก็ไปถามข้อมูลรถไฟไป Borjomi เค้าก็บอกมาแหละว่ารอบ 06:40 น. ก็ตรงกับที่หาไปนั่นแหละ แต่ว่าซื้อล่วงหน้าไม่ได้ ต้องมาซื้อพรุ่งนี้เช้า ก็เคๆ เมื่อคืนไม่ได้อาบน้ำ นอนเลย ตื่นมาประมาณตี 5 ได้มั๊ง เพราะว่านอนเร็ว ไม่ทัน 2 ทุ่มก็นอนแล้ว ตื่นมาซักพักก็ทำใจว่าจะต้องไปอาบน้ำเพราะถ้าไม่อาบ กว่าจะได้อาบอีกทีก็อีก 2 วัน เอาวะ ไปอาบน้ำ ไปค่ะ! อันนี้ถ่ายหน้าที่พัก เป็นโฮสเทลอยู่แถวๆ liberty square



ชอบจริงๆเลย สถานีรถไฟใต้ดิน กลิ่นบันไดเลื่อนให้ความโซเวียตมากๆ จริงๆชอบนะ ที่ดูรูปจอร์เจีย รัสเซียนี่ เหมือนเกมส์ Red aleart ที่เล่นตอนเด็กๆเลย เอาจริงๆก็เล่นไม่เคยชนะหรอก เล่นกับพี่ นั่งดูพี่เล่น 


ได้มาแล้วค่ะ ตั๋วรถไฟไป Borjomi ในราคา 24 บาท ใช้เวลาเดินทางออกจาก tbilisi ตอน 06:40 น. ไปถึง Borjomi ประมาณ 10 โมงครึ่งมั๊ง จริงๆคือเราต้องการนั่งรถไฟจาก Borjomi ไป Bakuriani เค้าเรียก narrow gauge tremway ไรประมาณนี้ ดูคลิปมาจากใน IG มันดูสวยมากเลยอ่ะ เลยอยากไปเห็นบรรยากาศจริงๆ ลืมบอก platform 2 นะจ๊ะอันนี้


บรรยากาศข้างทาง



ขนมบนรถไฟ จริงก็ซื้อเอแคลร์มาตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้วแหละ กะว่าเดี๋ยวเอาไว้กินบนรถไฟตอนหิวๆ แต่ขนมอันนี้น่ากินดี ป้าเดินผ่านหลายทีละ เอาวะ ตอนถามราคาป้าก็ชู 2 นิ้ว อีนี่ก็ห๊ะ อันละ 2 ลารีเหรอ นี่กูโดนอีป้าขายน้ำทับทิมเมื่อวานหลอกมาแล้ว ต้องมาโดนอีป้าขายขนมบนรถไฟหลอกอีกเหรอวะ แต่เออ 2 ลารีเอง ลองดูก็ได้ อารมณ์คือข้าวพองคลุกคาราเมล แต่รสชาติมันไม่ใช่คาราเลอ่ะ อร่อยดี สรุปคืออันละ 0.2 ลารี 1 ลารี ได้ 5 อัน กินไป 4 อันเริ่มอิ่ม ก็ติดกระเป๋าไว้งั๊น สรุปชิ้นสุดท้ายเอากลับมาให้เพื่อนกินได้อีก




ส่วนนี่คือเอแคลร์ที่เราพูดถึงค่ะ ในราคา 15 บาทโดยประมาณ แป้งดี ช็อคโกแลตดี แต่ติดที่ใส้ อารมณ์เหมือนใส้คัสตาร์ดที่ใส่แป้ง คือมันรู้สึกถึงแป้งได้อยู่อ่ะ แต่ก็กินได้ ไม่มีปัญหา





รูปก่อนๆหน้านี้ที่ถ่ายมาติดคนอื่นนี่คืออยู่บนรถไฟกำลังจะไป Bakuriani แล้วค่ะ ค่าตั๋วก็ 2 ลารี ประมาณ 25 บาท ต้องบอกว่า ถ้าจะนั่งรถไฟสายนี้ ต้องลงที่สถานที Borjomi ธรรมดา ซึ่งก็คือ สถานทีก่อนสุดท้าย สถานีสุดท้ายจะเป็น Borjomi Parki station something ซึ่งไม่ใช่ ถ้าลงผิดแล้วเดินกลับมานี่ อาจจะไม่ทันรถไฟที่จะไป Banuriani ละ แล้วก็พอลงสถานีนี้ปุ๊บ ก็จะเห็นเลยว่าต้องขึ้นอีกอัน ไม่ยากเลยตรงนี้




























ที่เห็นทั้งหมดคือวิวข้างทางค่ะ เรามาเพื่อสิ่งนี้ ได้เห็นในสิ่งที่คาดหวังไว้ว่ามาแล้วจะได้เห็น สบายใจ



ถึง Bakuriani เสร็จ หาทางกลับค่ะ ไปปุ๊บ กลับปั๊บ จริงๆมันจะมีรถไฟกลับไป Borjormi แหละตอนรอบ 16:45 น. แต่ไม่ได้วางแผนว่าจะมาทำอะไรที่นี่ไง เท่าที่อ่านมา ที่นี่น่าจะเป็น ski resort อีนี่โนไอเดียเลยค่ะ เล่นไม่เป็น ไปเห็นคนอินเดียกำลังถามหาว่าจะกลับไป Borjomi ไปยังไง อีนี่ก็เลยไปถามๆเค้า ขอกลับด้วย เค้าบอกไม่ต้องหารค่ารถ สบายไป  

แต่มันยังไม่ได้จบแค่นั้น เพราะว่าคนอินเดียเค้านัดคนที่จะพาเค้าไปเที่ยวไว้ที่สถานี Borjomi เค้าก็ให้เราลงตรงนั้น โอเค ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหา ต่อไปคือเราจะไป Borjomi central park เดี๋ยวหาทางไปก่อน ไปยังไงน๊าๆ โอว้ ไม่นะ เปิด google map ดู ห่างกันเป็นกิโล แล้วก็หนาวและปวดฉี่มาก ให้เดินไปไม่ไหวแน่ๆ แท็กซี่เหรอ ไม่อ่ะ ยังไม่ใช่ตอนนี้ เห็นป้าคนนึงกำลังยืนรอรถ เลยถามป้า เปิดรูปให้ดูว่าที่เนี่ยๆ ไปยังไง ป้าก็ทำหน้าตาเหมือนเข้าใจ อารมณ์ประมาณว่า เดี๋ยวป้าพาไป ตามมาอีหนู ขึ้นรถมาคันเดียวกับป้านี่ โอเค ขึ้นรถเมล์ตามป้าไป รถเมล์มาพอดี แล้วก็นั่งไปเรื่อยๆ จนอารมณ์ว่าสุดสาย ทุกคนลง กูก็ลง เอ๊ะ หน้าตาไม่เหมือนที่เปิดให้ป้าดูนี่นา นี่ป้าพากูมาลงที่ไหนเนี่ย โอ๊ยยยยยยย อีกแล้วเหรอออออ ตอนนั้นในใจคือ Tbilsi ๆๆๆๆๆ กูจะกลับแล้ว ไม่เอาแล้ว ฮือๆ แต่ด้วยความที่ตรงนั้นมันไม่ได้เปลี่ยว ไม่ได้น่ากลัว เป็นตลาด คนเยอะแยะ เอาวะ ตั้งสติ ไม่งี่เง่า เดินหาอะไรกินให้ใจเย็นๆ กินกาแฟซักหน่อยจะได้หายดีเพรส ใจเย็นๆไว้ๆ เดินเข้าไปร้านขนม เปิด google translate ให้เค้าดูว่า no beef เค้าก็ชี้ๆอันนี้มาให้ดูบอก bean bean โอเค อันนีแหละ น่าจะประมาณ 15 บาทอีกเหมือนกัน อันใหญ่มาก กินไม่หมดด้วย กินไปครึ่งเดียว เก็บไว้กินตอนเย็นได้อีกมื้อ ส่วนกลิ่นก็เป็นเอกลักษณ์ของคนที่นี่มาก อาหารที่นี่น่าจะปรุงด้วยเครื่องเทศที่มีในนี้เป็ส่วนใหญ่ เพราะทุกคนกลิ่นเหมือนเครื่องเทศนี่เลย ได้กินแล้วรู้สึกกลิ่นตัวกลมกลืน ส่วนกาแฟ เป็นกาแฟซองจ้า เค้าก็แค่ฉีกซองเติมน้ำร้อนให้ หมาไม่แดกเลย 






เห็นตลอดเลยต้นนี้ มันคือ rose hip หรือเมล็ดกาแฟนะ







หลังจากที่ตั้งสติได้ โอเค แถวนี้คือท่ารถ มีรถกลับ Tbilisi ได้ Borjormi central park ก็อยู่แถวๆนี้ ไหนลองไปถาม Taxi ซิ ว่าไปนี่กี่บาท คนแรกบอก 3 ลารี เค้าก็เดินไปหาคนที่จะไปให้ ลุงบอก 4 ลารี เออ 4 ก็ 4 ไปๆเหอะ จะลงรถ จ่ายไป 5 ลารี อีลุงบอกไม่มีทอน หึหึ อีเหี้ยลุง 

และแล้วเราก็มาถึง ค่าเข้าคนละ 2 ลารี รูปก็ตามที่เห็นอ่ะ ก็ไม่ได้สวยอย่างที่คิด แต่ก็อยากมาเห็นกับตา ว่าที่เห็นรีวิวสวยๆนั่นรูปมันหลอก 55555 ที่อยากมาอีกอย่าง อยากมาลองกินน้ำแร่ที่นี่แหละ ในรูปจะเห็นว่ามีคนกำลังรองน้ำกินกันอยู่ เค้าก็เห็นเราไม่มีแก้ว ใจดี ล้างแก้วแล้วรองน้ำมาให้กิน รสชาติแบบหน้าเบ้อ่ะ เค้าก็ยิ้มๆ แล้วคงพูดประมาณว่า กินเข้าไปๆ มันดีต่อร่างกายนะ เออๆ น่ารักดีอ่ะ


และนี่คือที่แรกที่เราได้ลองชิม glint wine ตอนแรกก็จะไม่กินหรอก กลัวเมา เค้าก็บอก ชิมสิ ชิมเถอะ ชิมฟรี ไม่คิดเงิน กินไปเออ อร่อยดี เค้าก็พูดนั่นพูดนี่ๆ รำคาญ เห็นมีทับทิมวางอยู่เลยถามว่าขายยังไง เปลี่ยนเรื่อง 


ทับทิบแก้วนี้อ่ะค่ะ 5 ลารี เออ แต่มันอร่อยจริง ชอบเลย 

แล้วก็เดินเล่นแปบนึงก็กลับ ค่ารถขากลับ Taxi คิด 5 ลารี ก็ไม่ต่อหรอก อาจจะต่อได้ 4 แต่รถเค้าดีกว่าอีลุงขามาอีก ถ้าให้อีลุงได้ ก็ให้คนนี้เท่านี้ได้เหมือนกัน เค้ามีขนมให้กินเล่นระหว่างทางอีกต่างหาก แล้วก็ไม่อยากรอรถไฟ เลยนั่งรถกลับมาดีกว่า 7 ลารี สบายใจระหว่างทางก็เมื่อยเท้าบ้าง หนาวบ้าง แต่เอาวะ เดี๋ยวคืนนี้ก็ได้นอนบนรถไฟละ จะได้เหยียดขา ห่มผ้าอุ่นๆ สบายใจ ~

แต่แล้วก็ต้องช็อคเมื่อมาเจอสภาพรถไฟชั้น 3 ที่จองเอาไว้ ในรูปคือมันมีผ้าห่ม มีหมอน ความจริงแม่งไม่มีห่าไรเลย คืออีนี่ไม่ได้งกนะ แต่ที่เลือกชั้น 3 เพราะว่าไปคนเดียว แล้วแบบนี้มันก็ดูปลอดภัยเพราะเห็นกันหมดทุกคน อึ้งไปพักใหญ่ๆ ผ้าห่มอุ่นๆของกู ฮือๆ มันไม่มีอยู่จริง ตอนนั้นมันก็จะ 4 ทุ่มแล้วด้วย เอาวะ ข่มตานอนซะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปเที่ยวต่อแบบสดชื่นๆ แล้วก็นอนขดๆไป คงจะดูนอนไม่ค่อยหลับมั๊ง คนเตียงข้างๆ ถามว่าหนาวเหรอ เลยเอาเสื้อมาให้ยืมห่ม เออ ค่อยหลับได้หน่อย แบบรู้สึกตัวอีกทีก็เช้าเลย อ้อ รถไฟไป Zugdidi นี่จองออนไลน์มาจากเว็บนี้ https://tickets.railway.ge/Home/Error?aspxerrorpath=/login.aspx ก่อนอื่นก็ต้อง register ก่อน ค่อย sign in เข้าไปซื้อตั๋ว แล้วก็ไม่ต้องปริ้นท์ไปก็ได้ ก่อนจะขึ้นรถ ก็แคปเจอร์หน้าจอเอาไว้ให้คนตรวจตั๋วเค้าดู แต่มันไม่เก๋เลยอ่ะ อยากได้ตั๋วที่เป็นกระดาษ แต่ก็ไม่รู้ว่าเค้าต้องซื้อก่อนเวลาที่สถานีกันตอนไหน อย่างมารอที่สถานีรถไฟก่อนหลายชั่วโมง ก็ไม่เห็นว่าสายนี้มันเปิดขายเลย



วันที่ 26 ธันวาคม 2561


ตื่นมาก็กระดึ้บๆลงมาหาที่ชาร์ตแบต เล็งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน คนที่ให้ยืมเสื้อนั่งอยู่ข้างล่างพอดี เค้าก็แบบกินขนมมั๊ย แบ่งขนมให้กิน สงสัยสภาพกูจะดูน่าสงสารมาก 55555 ขนมหน้าตาเหมือนตังเม ชื่ออะไรไม่รู้ จำไม่ได้ ให้เปรียบเทียบว่าเหมือนขนมไทยๆอันไหนก็นึกไม่ออก



คนนี้ไง ที่แบ่งขนมให้กินอ่ะ ถ่ายมาเห็นแค่นี้ 


2 คนยายหลานที่นอนอยู่ชั้นล่างเรา


และแล้วเราก็มาถึง Zudgigi จ้า มีร้านขายของเปิดไฟอยู่ อ่ะ ไปหาซื้อขนมไว้กินรองท้อง เพราะเท่าที่อ่านรีวิวมา อย่างน้อย ก็ 3 ชม. กว่าจะถึง Mestia 


ไม่ค่อยอร่อยหรอก แต่อร่อยกว่าที่ขายใน amazon นิดนึง

ตอนที่ไปถึงอ่ะ ฝนตกด้วย เดินไปหารถขึ้นไป Mestia ไม่มีเลย คิดว่าถ้าสว่างกว่านี้รถอาจจะมี ตอนนั้นมันเพิ่ง 6 โมงเช้าเองมั๊ง แล้วที่นั่นก็ยังมืดอยู่เลย เห็นคำว่า Mestia เลยไปยืนด้อมๆมองๆ มีคนหวังดี ถามว่าจะไป Mestia เหรอ เราจะต้องนั่ง Taxi เพื่อไปขึ้นรถ ก็แบบเหรอๆ โอเค เค้าก็พาไปเรียก Taxi ให้ ส่วนพวกเค้าไปเที่ยวไหนกันก็ไม่รู้หรอก ไม่ได้ถาม ค่า Taxi เพื่อไปขึ้นรถไป Mestia 5 ลารี รถจาก Zugdidi ไป Mestia อีก 25 ลารี เออ จะบอกว่า ขากลับอ่ะ แค่ 20 ลารีเอง อีลุงแม่ง เออ แต่ถ้าเป็นช่วง high season อ่ะ ไม่ต้องนั่ง Taxi เพื่อไปขึ้นรถนะ เค้าจะมีมารับที่หน้าสถานีรถไฟเลย ใน wikisomething ก็มีบอก ลองไปหาดู









และนี่ก็คือบรรยากาศข้างทางระหว่างทางไป Mestia 





ส่วนนี่เหรอ บรรยากาศตอนลงจากลงมาแล้วค่ะ ลุงคนขับเค้าใจดี ให้ลงมาถ่ายรูปเล่นข้างล่าง ถุย! รถติดหิมะค่ะ ไปต่อไม่ได้ ต้องเอาโซ่มาคล้อง 3 รอบได้มั๊ง ที่ต้องลงจากรถมาอ่ะ เพราะกลัวลุงจะพุ่งลงเขาไปซะก่อน ทุกครั้งที่ลุงถอยหน้าถอยหลัง ลุงจะไปเก็บไอ้เสาที่เค้าทำกันไว้ตกตลอด ไม่รู้ลุงถูกชะตาอะไรนัก จากที่อ่านรีวิวมาถ้าช่วงที่มีหิมะ ก็จะใช้เวลา 4 ชม. นี่ล่อไป 6 ชม.ได้มั๊ง กว่าจะถึงนี่สวดมนต์แล้ว สวดมนต์อีก รอดได้มาตั้งหลายรอบ จะมาตายเพราะรถตกภูเขาไม่ได้นะ ก็คิดเหมือนกัน ว่ามันจะถึงกับตายเลยเหรอวะ อาจจะแค่เจ็บหนักเฉยๆก็ได้มั๊ง เออ จะบอกว่าเจอน้องคนไทยบนรถด้วย ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก จนได้ยินเค้าคุยโทรศัพท์กับแม่ "สวัสดีครับ" อ้าว คนไทยนี่หว่า มีเพื่อนคุยละ เลยชวนน้องไปนั่งกินข้าวด้วยกัน ถ้าถึง Mestia แล้ว




"พระทรงบังเกิด โลกจงยินดี ชุลี น้อมรับ พระเจ้าาาาา": ร้องเพลงประกอบภาพ

ในที่สุดเราก็ถึง Mestia แล้วจ้า โดยสวัสดิภาพ ตอนนั้นคือ หนาวมาก หนาวชิบหาย และคิดว่าทุกคนคงจะหนาวเหมือนกัน พอลงรถปุ๊บ ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านอาหาร ก็ดูมาแล้วแหละร้านนี้ แต่คนรีวิวน้อยกว่าอีกร้านนึงอ่ะ ตอนแรกก็เข้าไปร้านนั้นแหละ แต่ว่าโต๊ะเต็ม ไม่มีที่นั่ง เลยต้องวิ่งฝ่าหิมะ ฟังดูโหดร้ายมาก จริงๆไม่ขนาดนั้น แค่ปวดฉี่มากไปหน่อยตอนนั้น แล้วเราก็มาถึงร้านนี้ที่ดูจะมีรีวิวเยอะที่สุดแล้วที่เล็งไว้ตอนแรกนั่นก็คือ Cafe Laila นั่นเอง 
สั่งมาหลายอย่างมาก 1. มุกสั่งชากุหลาบมากินก่อน
2. น้องสั่งคาปูร้อนป่าววะ หรือลาเต้
3. ขนมปังซัมติง พนักงานบอกว่าของอร่อยที่นี่ ก็ชี้ไป แต่พนักน่าจะดูผิด เอาอันบนสุดในรูปมาให้ กูแดกไม่ได้ มันเป็นเนื้อวัว ฮ่วย
4. ไก่ทอด น้องบอก อยากกินนานแล้วไก่ทอดเนี่ย สั่งมาเลยจ้า สรุปออกมาเป็นอกไก่ย่าง จินตนาการเอาไว้ว่าปีกไก่บาร์บีคิวไรงี๊ เหมือนจ้า เหมือนที่คิดเอาไว้มาก
5. พิซซ่า พิซซานี่อร่อยอยู่ ชีสข้างบนน่าจะเป็นชีสอย่างเดียวกับที่อยู่บนชีส bread ของเค้าอ่ะ จำชื่อไม่ได้ suๆ อะไรซักอย่าง
6. คาปูร้อนอีก 2 แก้ว มุกสั่งมาแก้วนึง ส่วนอีกแก้วน้องสั่งมากินเป็นเพื่อน 
น่าจะประมาณ 550 บาทได้ ถ้าจำไม่ผิด แดกขนาดนี้ ตกคนละ 200 กว่าบาท จอร์เจียนี่เป็นประเทศที่น่ามาใช้ชีวิตอยู่จริงๆ รถเที่ยวละ 6 บาท 


อยากลงรูปตัวเอง เพราะว่ามั่นใจในความสวย 555555 เปล่าจะให้ดูบรรยากาศข้างนอกร้านเป็นหิมะและต้นสน ในรูปนี่ดูนมใหญ่เกินจริงมาก เป็นมุมที่น่ากลัวมาก 55555555




ตกดึกเราก็ไปผับไปบาร์ แต่ไม่ได้อยู่ในความคิดเลยนะ ตอนแรกก็กะว่าถึงเมสเทียเสร็จเดินเล่น แล้วก็ไปนอน ไม่ได้กะว่าต้องลองชาช่งชาช่าอะไรเลย แต่มีเพื่อนแล้วไง ป่ะ ชวนกันไป จริงๆก็มีหลายร้านนะ ก็เดินดูไปเรื่อยๆ แต่ดูเป็นร้านคนแก่อ่ะ มีร้านนี้อ่ะที่ดูวัยรุ่นสุดละ ชื่อร้าน Rea Dessert Cafe ตอนเข้าไปเค้ากำลังเปิดเพลงเต้นกันอยู่เลย ร้านนี้เหรอ เจ้าของร้านเป็นคนรัสเซีย อายุ 23 ชื่อยูนา อีนี่ก็พยายามคุยกับเค้าไปเรื่อยเปื่อย ตอนแรกสั่งเบียร์มาลอง คิดว่าน่าจะกินง่ายสุดท้าย จิบๆไปได้ไม่กี่อึก ได้กลิ่นอบเชย เลยถามเค้าว่า ใช่กลิ่นอบเชยมั๊ยอ่ะ มันมาจากไหน เค้าก็บอกว่า อ้อ ไวน์ร้อน เราก็เหรอๆ ไวน์ร้อนใส่อบเชยด้วยเหรอ เอามาๆ อยากลองๆ จริงๆ แอบติดใจที่ชิมไปตอนอยู่ central park นั่นแหละ ในนั้นก็มีส้ม แอปเปิ้ล แล้วก็ก้านอบเชยเสียบมาให้เก๋ๆ ไม่กินละเบียร์ ให้น้องเอาไปกินให้หมดเลย คืนนี้ได้แก้วนี้แก้วเดียว พอใจละ แล้วเค้าก็แนะนำขนม ขนมชื่อไรวะ ลืม เค้าตั้งชื่อว่า chinese cake ป่าววะ หรือกูมั่ว 55555 แต่เหมือนว่าที่ร้านเค้าคิดสูตรเองมั๊ง ครีมข้างบนอ่ะ เหมือนครีมในเอแคลร์เลย เลยถามเค้าว่าใส่แป้งด้วยใช่มั๊ย เค้าก็บอกอื้อๆ ใส่ด้วยนิดนึง แหนะ ดูมีความรู้เลยกู แล้วข้างในก็เป็นกล้วย เป็นเค้ก อารมณ์คล้ายๆ banoffee แต่ไม่ใช่หรอก เบียร์ขวดละ 60 ไวน์ร้อนแก้วละ 60 ทุกอย่างดูเหมือนจะประมาณ 5 ลารีหมด 

วันที่ 27 ธันวาคม 2561


อันนี้คือวิวถ่ายจากระเบียงหน้าที่พัก ตอนประมาณ 6-7 โมงนี่แหละ ยังมืดอยู่เลย


เช้านี้เล็งร้านกาแฟเอาไว้ว่าจะต้องมากิน จริงๆเห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ว่าหิว อยากกินข้าวมากกว่า ร้านกาแฟเลยเอาไว้ก่อนละกัน ดูใน google map เขียนว่าเปิด 7:30  พอใกล้ๆ 8 โมงก็เลยชวนน้องเดินไปดูด้วยกัน สรุปหน้าร้านเขียนว่าเปิด 9 โมง ขอบคุณค่ะ น้องเลยชวนเดินเล่นรอบๆเมือง ก็สวยอ่ะ แต่มองไม่ค่อยเห็นอะไรหรอก มีหมอก ส่วนรูปนี้ถ่ายมาให้เพื่อนดู แบบที่นี่ค่าครองชีพถูก น่ามาอยู่ แต่ถ้ามาอยู่แล้วจะทำอะไรกิน เลยส่งรูปนี้ไปประกอบกับอธิบายว่า ตัดฟืนก็น่าจะเวิร์คอยู่นะ คงทำเป็นอาชีพได้






สุดท้ายก็ทนรอให้ถึง 9 โมงเช้าไม่ไหว เดินกลับมานอนเล่นที่พักให้หายหนาวก่อน ค่อยกลับไปใหม่ อันนี้คือวิวจากห้องครัวของ guest house ที่ไปพัก






และแล้วร้านก็เปิดจ้า ERTI KAVA coffee room ที่นี่คือแบบเหมือนสวรรค์อ่ะ แต่ตอนแรกไปคือ ไฟดับ เออ เจอคนไทยด้วย 3 คน กำลังนั่งอยู่หน้าร้านพอดี ก็เลยถามเค้าว่าร้านเปิดยัง เค้าก็บอกว่าเปิดแล้วค่ะ เข้าไปสั่งกินมาแล้ว แต่เหมือนว่าตอนนี้ไฟดับอยู่ เลยเออ ไม่เป็นไร เข้าไปนั่งรอไฟมาก็ได้ เลยไปนั่งสัมภาษณ์บาริสต้าอยู่ อันนั้นคืออะไรคะ อันนี้เป็นยังไงคะ เอาที่สั่งมากินเลยละกัน
1. Cordato ด้วยความสงสัยว่ามันคืออะไรเลยถามเค้า ไม่เคยได้ยิน เค้าก็เลยอธิบายว่ามันเป็นงี๊ๆ แบบอ้อๆ เหมือน piccolo ใช่มั๊ย เค้าก็บอกใช่ๆ แต่ cordato นี่จะเป็นชื่อเรียกทางฝั่งสเปน ส่วน piccolo นี่ฝั่งออสเตรเลีย ว่ากูมั่วไม่ได้นะ ก็เค้าบอกมาแบบนี้ ก็ดี แต่รู้สึกว่าเมล็ดกาแฟที่เค้าใช้มันน่าจะคั่วอ่อนไป ยังติดเปรี้ยวอยู่ แต่กินได้ๆ เออ ลืมบอก ร้านนี้ เจ้าของร้านเป็นคนยูเครน 
2. Raf lavender (อันนี้ดีมากกกกกก ชอบมากกกกกก ต้องมาเขียนรีวิวเลย เผื่อคนอื่นไปจะได้สั่งอันนี้มากิน เพราะมันอร่อยมากกกกก ขนาดคนขายยังบอกว่า ลูกค้าก็กลับมาใหม่ก็มาสั่งอันนี้แหละกิน) ก็ถามเค้าแหละ ว่าคืออะไรเป็นยังไง ไม่รู้จัก เค้าก็บอกๆ ว่าใส่ homemade lavender syrup อีนี่ก็อยากลองเลยจ้า เอามาๆ ไม่เอาวานิลา ไม่ชอบกลิ่นมัน ทำขนมกินยังไม่ชอบใส่เลย ให้เหม็นคาวไข่ไปดีละ ก็ถามเค้าว่ามันคือของที่ไหนอ่ะ ไม่เห็นเคยได้ยินเลย เค้าก็พูดราฟาเอลๆ ไม่รู้ฟังผิดป่าวนะ คนคิดน่าจะชื่อนี้ เลยตั้งชื่อสั้นๆว่า raf เค้าบอกว่าต้นกำเนิดอยู่ที่รัสเซีย แต่ว่าที่ยูเครนก็กินกันเหมือนกัน เลยแบบเหรอๆ ดีจังอร่อยอ่ะ เพิ่งเคยได้ยิน เพิ่งเคยได้กินเนี่ย มันก็จะนุ่มๆ หอมๆ ถามเค้าว่าใส่อะไรบ้าง เค้าบอกมีนม มี half cream มีชอตเอสเพรสโซ่ แล้วก็ homemade lavender syrup แหละ ตั้งใจจะกลับมาทำกินอยู่ รอสั่งลาเวนเดอร์แห้งมาก่อน 
3. ชา svaniti herb จริงๆไม่ได้มุ่งประเด็นไปที่ชาเลย ก็ชวนเค้าคุยแหละ ว่าแล้วมีชาอะไรบ้างคะ ในระหว่างที่ไฟยังไม่มาไง อีนี่ก็ถามไปเรื่อยเปื่อย เค้าก็หยิบอันนั้นเปิดอันนี้ให้ดม มาเจออันนี้เค้าบอกว่ามันเป็นสมุนไพรภูเขา ที่เก็บจาก svaneti มีเฉพาะแถวนี้ เหรอๆ มันหอมด้วย เลยสั่งมาลองอีกแล้ว คือชายังไม่ทันมา ถามเค้าละ ว่าแบ่งขายมั๊ย จะซื้อกลับบ้าน 55555 เค้าก็บอกว่าขาย เลยเอาถุงนึงค่ะ 25 กรัม 10 ลารี เอามาๆ เอากลับไปกินบ้าน นึกถึงพี่ที่ร้านกาแฟที่รู้สึกเลยซื้อฝากให้ห่อนึง เป็นของขวัญปีใหม่เป็นของฝากไปเลยละกัน 
4. ชูครีม แป้งก็เหมือนเอแคลร์ที่กินวันนั้นแหละ ส่วนใส้ก็เหมือนครีมบนขนมเมื่อวานด้วย เป็นใส่วานิลลาคัสตาร์ดที่ใส่แป้ง เนื้อมันก็จะสัมผัสได้ถึงความด้านๆนิดนึง

ทั้งหมดนี่ราคาประมาณ 420 บาท ก็ดูบิล มันถูกไปป่าววะ เค้าคิดอะไรผิดไปป่าว ลองบวกเลขดูเอ๊ย ไม่ใช่สิ เค้าต้องคิดอะไรขาดไป เลยเดินไปถามว่า คิดราคาอะไรผิดไปป่าวคะ ลองบอกให้เค้ากดใหม่ทีละอัน สรุปว่าไอ้ชาร้อนนี่ เค้าให้กินฟรีค่า "it's a gift" ไม่คิดเงินด้วย ใจดีไปอี๊ก 


จริงๆวิวตรงนี้มันสวยนะ ถ้าอีนี่สวยกว่านี้หน่อยก็คงจะดี > <


หลังจากที่นั่งอยู่ร้านกาแฟเป็นเวลาหลายชม. เออ พอเค้าทำให้เสร็จซักพัก ไฟก็ดับ ดับยาว น้องจะสั่ง raf มากิน สรุปอดกิน เพราะไฟไม่มา อิอิอิอิอิ ก็ถามเค้าว่า ไฟดับนี่เป็นเพราะช่วงนี้หิมะตกหนักเหรอ เค้าก็บอกเปล่า หน้าไหนๆมันก็เป็นแบบนี้ ดับทุกวัน ดับแบบไม่เป็นเวล่ำเวลาด้วย เออ ดี ชิลไปอีก



และแล้วก็ได้เวลากลับ ถ้ารถจาก Mestia ไป Zugdidi จะมี 4 รอบป่าววะ 08:00, 12:00, 14:00 แล้วก็ 16:00 แต่ถ้ารถจาก Mestia ไป Tbilisi เลยจะมีรอบเดียวคือ 8 โมงเช้า ค่ารถก็อย่างที่บอกไปแล้ว 20 ลารี เออ ไม่ได้ไป Ushguli เคยดูรีวิวทางไป Ushguli แล้ว น่ากลัวอ่ะ แค่มา Mestia มีปัญหาตลอดทาง ก็ขี้หดตดหายละ 




เนื่องจากรถไฟกลับ Tbilisi มันมีรอบ 22:15 เรากลับมาจาก Mestia รอบ 14:00 ก็มาถึง Zugdidi ประมาณ 5 โมงกว่าๆมั๊ง หาข้าวกินก่อน หิวมาก ร้านนี้แหละ อยู่ใกล้สถานีรถไฟสุดละ เดินแปบเดียวถึง แต่ตอนนั้นร้านเค้าจะปิดแล้ว สั่งได้ไม่กี่อย่าง น้องเลยสั่งเคบับไก่ ขนมปัง แล้วก็หมูผัดใส่เห็ดใส่เต้าหู้ เรียกอะไรไม่รู้ แต่ว่าอร่อยดี หอมๆ อีเคบับไก่นี่ไม่ได้เรื่อง ไก่ย่างที่ขายในร้านส้มตำอร่อยกว่าเยอะ แล้วร้านนั้นมันก็ปิดตอนทุ่มนึง เราก็นั่งแช่นานไม่ได้ กินเสร็จก็ออกมา 3 อย่างรวมน้ำราคา 220 บาท ก็ไม่แพงนะ 







ตอนแรกกินเสร็จก็เดินกลับไปรอที่สถานีรถไฟแหละ แต่น้องมันบอกว่านั่งข้างในนั้นแล้วหดหู่ ออกไปหาที่อื่นนั่งดีกว่า เลยเดินข้ามถนนไปนิดนึง มีร้านนี้อยู่ ชื่อร้านไรไม่รู้ จำไม่ได้ ไปนั่งเล่นแหละ เลยสั่งชาร้อนมากิน หอมดี อารมณ์ earl grey แล้วก็นั่งไปนั่งมา เกรงใจเจ้าของร้าน เลยสั่งอันนี้มาชิม น่าจะชื่อ khinkali ป่าววะ จำไม่ได้ อาหารประจำชาติเค้านั่นแหละ อยู่มาตั้งหลายวัน เพิ่งมีโอกาสได้กิน ลูกละ 0.7 ลารี แต่เค้าขายขั้นต่ำ 5 ลูก เออ 5 ก็ 5 สั่งมากิน อันนี้ข้างในเป็นใส้หมู แต่หอมอ่ะ ชอบ เหมือนเค้าเอาหมูไปสับรวมกับมินท์มั๊ง สดชื่นดี อร่อยดี ไม่เค็มเกินไปด้วย


และแล้วก็ได้เวลากลับ Tbilisi แล้วค่าาาา อุณหภูมิตอนนั้น 42F แปลงเป็น องศาเซลเซียสก็น่าจะเลขตัวเดียว เอาจริงๆ คือแยกไม่ออกหรอก ว่าอันนี้เลขตัวเดียวหรือติดลบ รู้สึกว่ามันก็หนาวๆเหมือนกันหมด ยิ่งตอนมีลมนะ โอ๊ย ไม่ไหวล๊าวววววว


ได้ผ้าห่มแล้วโว๊ยยยยย ก็ถามน้องไง ว่าจะกลับด้วยกันมั๊ย ถ้าจะกลับ จะจองตั๋วใหม่ เผื่อตั๋วชั้น 2 มันจะมีผ้าห่มให้ ก็ไปอ่านรีวิว เค้าบอกว่าชั้น 2 ไม่มี ต้องซื้อเพิ่ม แต่ซื้อเพิ่มได้ แต่ชั้น 3 เนี่ย ไม่มีสิทธิ์ซื้อ (อันนี้คนที่นั่งมาขามาเค้าบอกนะ ตอนถามว่าซื้อเพิ่มได้มั๊ย เค้าก็บอกว่าไม่ได้อ่ะจ้ะ) ถ้ามีเพื่อนค่อยน่าจองหน่อยชั้น 2 เนี่ย แต่เปิดในมือถือมันไม่มีภาษาอังกฤษอ่ะ ต้องฝากเพื่อนที่ไทยจองให้ เลยจองใหม่ กลับพร้อมน้อง ตั๋วเก่าก็ return ไป มันก็ได้คืนนะ แต่ต้องรอไป ภายใน 30 วัน อะไรแบบนี้ แต่ก็ได้คืนแหละ เออ สรุปว่ารถไฟชั้น 2 มีผ้าห่มมีหมอนให้เรียบร้อย ไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่ม แต่ก็ไม่วาย จองพร้อมน้อง แต่ได้นอนคนละห้อง อีนี่ก็ทำหน้าตาแบบไม่เอานะ มากับเพื่อน จะนอนกับเพื่อน ก็คนที่เหลือในห้องดันเป็นผชหมดเลย ไม่สบายใจ จนมีป้าคนนึงเค้าสงสารไปคุยกับลุงที่อยู่ห้องเดียวกันให้ ว่าขอให้สลับที่กับน้องได้มั๊ย ลุงก็ใจดี สลับห้องให้ ค่อยยังชั่ว นอนหลับหน่อย อีนี่ก็ สะปาซีบ่ะๆ ใหญ่เลย


วันที่ 28 ธันวาคม 2561


ถึงซักที Tbilisi 








มา เรามาพูดถึงเรื่องอาหารการกินกันต่อ วันนี้เราจะไป Kazbegi แต่เราไปถึง Tbilisi ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปหาอะไรกินรองท้องก่อน วันนี้เป็นคิวของ Coffeesta ร้านนี้เป็น chain shop ตรงที่เราไปนี่อยู่แถว Rustaveli อารมณ์ starbucks อ่ะแหละ เท่าที่ดูรีวิวมา มันน่าลองเข้าไปดู สั่งมา 3 อย่าง มี honey cake เฉยๆ แล้วก็ hot chocolate ดูจากในป้ายไง น่าสนใจ มันกวนๆอยู่ในถังหน้าเคาเตอร์ เลยลองสั่งมาชิม ไม่อร่อย เค็มๆ กินไม่หมด แต่กาแฟอันนี้ดีอยู่ ชื่อ "special coffeesta ...." ประมาณนี้แหละ จำชื่อไม่ได้ 555555 ไม่แน่ใจว่ามีเฉพาะเทศกาลนี้รึเปล่าแต่คือดี เป็นเหมือนลาเต้ ใส่วิปครีมและโรยชินนามอน ฟิน อาหารมื้อนี้จำราคาไม่ได้อ่ะ แต่ไม่น่าเกิน 300 หรอก  




















ตั้งใจจะไป Kazbegi แต่ทว่า เค้าบอกว่า ถนนปิด หิมะตกหนัก ไปไม่ได้ ไปได้แค่ Gudauri ตอนแรกเค้าก็คิดไป-กลับ 40 ลารี อีนี่ก็โอเค ได้อยู่ ไม่มีปัญหา เค้าบอกเดี๋ยวรออีก 2 คน ขึ้นไปรอบนรถก่อน บนรถมีคนอินเดียอยู่แล้ว 2 คน เค้าบอกว่า รอมาครึ่งชม.แล้ว กว่ายูจะมา ไปๆมาๆ คนขับรถ ก็ให้คนที่พูดภาษาอังกฤษได้มาต่อรองให้ ว่าไม่มีคนเพิ่มเลย แล้วทางตรงนั้นก็จะปิดตอนบ่ายสอง ถ้าจะไปก็ต้องไปเลย เก็บเพิ่มเป็นคนละ 40 ลารี แล้วขากลับมีดิชั้นจะลงมาคนเดียว เก็บอีก 20 ลารี รวมเป็น 60 ลารี (คิดในใจ อีดอก เหมือนที่กูคิดไว้เลย แบบว่า กูใช้เงินแบบสมเหตุสมผลตลอดทั้งทริป กูต้องมาเสียเยอะๆกะอีค่ารถตรงนี้แน่ๆ ซึ่งก็จริงเลย) ตอนแรกกะว่าไป Kazbegi จะเดินขึ้นไปโบสถ์ มีเวลาเหลือๆ แล้วค่อยกลับลงมากินข้าวตอนเย็น ไม่เป็นไร ไปแค่ Gudauri ก็ได้ แล้วถ้าจะยกเลิกอีก เพราะค่ารถแพง เออ เอาวะ ไปก็ไป ไอ้รูปบนๆนี่ก็คือ Anauri เค้าให้ลงไปถ่ายรูปก็ไป สรุปเลยว่าทั้งทริปเนี่ย ชอบตอนนั่งรถไฟไป Bakuriani กับ Mestia ที่สุด รู้สึกไม่วุ่นวายสุดละ  แล้วเราก็สั่งน้ำทับทิมมากินอีกแล้วจ้า 5 ลารีเหมือนเดิม อร่อยอ่ะ ชอบ 





อยู่จอร์เจียมาหลายวัน เพิ่งจะเห็นแดดก็วันนี้แหละ เออ ตอนที่เจอคนไทยระหว่างทาง ก็คุยกันบ้างว่าไปนั่นไปนี่มารึยัง ก็แชร์ๆกัน แล้วก็จะมีความรู้สึกคล้ายๆกันว่า บางที่ก็ธรรมดา ไม่ได้สวยเหมือนที่เห็นในรีวิว หรือประมาณว่า ก็เลือกไปเลยว่าจะไป Mestia หรือ Kazbegi คือก็รู้สึกแหละว่า ทางไป Mestia สวยกว่า แต่เท่าที่ดูภูมิประเทศ? เค้าเรียกว่าอะไร มันก็คล้ายๆ เที่ยวทะเลภาคตะวันออก กับเที่ยวทะเลใต้อ่ะ เกาะแถวๆนี้ก็จะเตี้ยๆ สีเขียวๆ แต่ทะเลใต้เกาะก็สูงๆ มีเขียวๆน้ำตาลๆ สลับกันไป ก็บอกไม่ได้ว่าอันไหนสวยกว่าอัน เพราะแต่ละคนก็อาจจะมีความชอบคนละแบบ แต่ที่แน่ๆคือมันก็ไม่ได้เหมือนกันอ่ะ 








คนขับบอกว่า หาอะไรกินไป แถวๆนี้แหละ มีร้านอาหาร เดี๋ยวบ่ายสามมารับ แล้วตอนนั้นมันก็จะบ่ายแล้วมั๊ง เออๆ มานั่งกินข้าวดูคนเล่นสกีรอไปก็ได้ แต่ด้วยความที่ เห็นคนถืออุปกรณ์เล่นสกีตั้งแต่รถไฟไป Bakuriani เค้าก็ไปเล่นแถวนั้นกัน ตอนไปพักที่ Mestia ใน guesthouse เดียวกัน ก็เห็นเค้าไปเล่นสกีกัน จริงๆในใจ อีนี่ก็อยากลองแหละ แต่คิดว่า คงไม่ใช่ครั้งนี้ แต่แล้ว แต่อีก แต่ระห่วางทางที่คุยกับคนอินเดียมา เค้าก็บอกว่าเค้ามาพักสกีรีสอร์ท แล้วก็จะเล่นสกี ก็เลยถามว่าปกติเล่นอยู่แล้วเหรอ เค้าก็บอกเปล่า มาหัดที่นี่แหละ ยูมาถึงนี่ยูก็น่าจะลองนะ ก็คิดในใจแหละตอนนั้นว่าอยากลอง แต่ก็คงจะไม่ และด้วยความที่ลงจากรถ เดินหาร้านข้าว ดั๊นนนน ถึงร้านเช่าสกีก่อนร้านข้าวซะงั๊น เลยแว๊บเข้าไปแบบ อันคอนเชียสเลย 55555555 ทั้งๆที่ตอนนั้นก็ปวดฉี่มากแล้วนะ แล้วก็หิวแล้วด้วย โดนค่าคนสอนไป 50 ลารี ค่าอุปกรณ์อีก 50 ลารี สบายตัวไปเลย ก็ลองไถๆลงมาดู ได้หลายรอบอยู่ ล้มไปหลายรอบ ล้มอีตอนใส่รองเท้านี่แหละ แต่ก็ดี ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ






ระหว่างทางกลับลงมา คนขับซิ่งมาก อารมณ์แบบพอถึงทางที่ค่อนข้างจะปลอดภัยละ นางก็เอาเข็มขัดนิรภัยออก เปิดเพลงแร๊พ แล้วขับลงเขาอย่างเมามันมาก ไม่ถงไม่ถามสุขภาพกูซักคำ 


















มา และนี่ก็คือร้านที่ตั้งใจจะมามากๆ Resturant in Tbilisi ก็หาอันนี้มาแหละเหมือนเดิม แล้วก็สะดุดกับร้านนี้สุด มันคือร้าน Barbarestan คือรูปบรรยากาศร้านมันก็ไม่ได้ดูอลังการอะไรมาก แต่ในเลเวลราคาเท่านี้ รู้สึกอยากมาร้านนี้มากที่สุด (ก็มันมีรีวิวมากสุดด้วยไง) ตอนที่ดูรีวิวร้านนี้ กะว่ามื้อนี้นะ ตั้งงบไว้เลย 1,000 บาท เพราะเราไปแอบส่องราคาอาหารในร้านมาแล้วจ้า น่าจะบน fb นั่นแหละ คิดเอาไว้ว่าจะสั่งอะไรบ้าง ก็มีจานหลักกับของหวานที่คิดว่าต้องสั่งแน่ๆ ส่วนน้ำไว้ค่อยคิดที่หลัง คิดว่าทำการบ้านมาดีแล้วนะ แต่ก็ยังดีไม่พอ 55555555

คือร้านนี้อ่ะ เหมือนจะต้องจองโต๊ะ แล้วเท่าที่เห็นในรีวิว เค้าก็มากันเป็นกลุ่ม แล้วอีนี่อยากจะไป แต่ไปคนเดียวไง อ้อ ต้องบอกว่า ทุกร้านอ่ะ ที่พอดูเอาไว้แล้ว ก็จะไป follow ใน IG แล้วคอยดูรูปอาหารที่เค้าลง แล้วก็เล็งเอาไว้ ว่าชั้นจะกินอันนี้ๆนะ มันคือเมนูไหน บลาๆๆๆๆ ก็จำๆเอาไว้ ต่อ ก็ทักไปจองใน IG ตั้งแต่หลังจากซื้อตั๋วเครื่องบินเสร็จไม่นาน เพราะก็จะคิดไว้แล้วว่า มื้อนี้วันนี้ชั้นจะไปร้านนี้ๆ ถามเค้าว่า ไปคนเดียว จองได้มั๊ย เค้าก็บอกได้ ถามวัน ถามเวลา โอเค เราก็บอกไป กลับจาก Gudauri มา เราก็ตรงดิ่งไปร้านนี้เลย เพราะตอนนั้นมันน่าจะ 6 โมงได้แล้ว จองไว้ทุ่มนึง เผื่อถ้าโต๊ะยังไม่ว่าง ก็อาจจะไปเดินเล่นหาไรทำรอไปก่อน 

พอไปถึงหน้าร้านก็บอกว่าจองไว้ ชื่อนี้ๆ คาโมนวาน เยส คาโมนวาน เค้าก็ตรงนี้เลยครับ แล้วก็มีคนชุดข้าวอ่ะ มาแนะนำประวัติของร้าน แล้วก็เอาเมนูมาให้ดู จริงๆก็รู้ตัวเองอยู่แล้วแหละ ว่าจะสั่งอะไร แต่ก็ทำเป็นถามว่า อันนี้เป็นยังไง อันนั้นคืออะไร คิดว่าโอเค สั่งของหวาน ของคาว จบ พนักงานก็ถามต่อว่า แล้วจะสั่งชาอะไรมากินกับของหวานดี พีคตรงนี้แหละ ที่คิดว่าทำการบ้านมาดีแล้วนะ ก็ยังไม่ดีเท่าไหร่ มาดูเมนูชา เค้าก็แนะนำ Tea with rose ดูราคา 24 ลารี ขนมที่กูสั่งมายังแค่ 25 ลารีเอง ชาเหี้ยไรเนี่ย แพงชิบหาย ก็ได้แต่คิดในใจ แล้วคือกิน dog rose tea ที่ Mestia แล้วไง เลยอยากกินอย่างอื่นบ้าง บอกพนักงานไปว่าขอเป็น Tea with clown and cinnamon แล้วกัน เพราะสั่งขนมหวานมีไอติมกาแฟ น่าจะเข้ากันมากกว่า เออ กูก็วอแวอยู่กับอีอบเชยนี่นะ ก็มันหอมอ่ะ

สรุป สั่งมา 3 อย่าง 1. Trout roasted on ketsi นี่ถ้าไม่เกรงใจจะเอาเมนูที่ร้านมาแปะเลย ขี้เกียจพิมพ์ มันก็คือปลาเทร้า (ปลาเหี้ยไรวะ เคยได้ยินแหละ แต่ไม่รู้จัก) หมักกับสมุนไพร พริก แล้วก็กระเทียมป่า นี่แปลมาเลย ส่วนรสชาติเหรอ รสชาติเหมือนปลาราดพริกอ่ะ แต่ว่าไม่เผ็ด ออกเค็มๆหน่อย เค็มเกลือนะ ไม่ใช่เค็มน้ำปลา ข้างบนก็เป็นผักอะไรไม่รู้ แล้วก็มีกลิ่นสมุนไพร หอมดี ปลาไม่คาว น้ำราดก็ไม่เลี่ยน กินหมดจานนี่เกือบอิ่มเลย จานนี้ก็ราคา 32 ลารี ประมาณ เกือบๆ 400 บาท อารมณ์ว่ากินสเต็กจานนึงอ่ะ ที่เป็นปลาก็มีแซลมอนนะ แต่ไม่สั่ง แพง
2. Creamy coffee ice-cream แป้งจะคล้ายๆโรตีกรอบ แล้วก็มีครีมสีขาวๆ ครีมชอคโกแลต ราสพ์เบอร์รี่ ลูกสนเชื่อม มีใบไม้ตกแต่งนิดหน่อย แล้วก็ไอติมกาแฟ กินๆอันนี้ไปก็เรียกพนักงานมาถาม แต่พนักงานไม่รู้ เลยให้คนใส่ชุดดำมาตอบแทน ถามเค้าว่า ครีมเค้าใช้ครีมอะไรทำ ทำไมเนื้อมันแน่นกว่าวิปครีมทั่วๆไป กลิ่นคล้ายๆนมบูดด้วย คือ texture มันจะอยู่ระหว่าง daily กับ non-daily whipphing cream คือมันก็ไม่ได้แข็งมาก แต่ก็ไม่ได้นุ่มนิ่มละลายในปากไปเลย เค้าก็บอกว่ามันคือชีสครีม ไม่ใช่ครีมชีสนะ อันนั้นคนละอย่างกัน เราก็อ๋อออออ ถึงว่า มันไม่ใช่วิปครีมปกติจริงๆด้วย แล้วเค้าก็อธิบายอย่างอื่นให้ฟังเพิ่มเติมแบบ "so Georgian" อีนี่ก็อื้อๆ กินไป พยักเพยิดไป ส่วนลูกสนนี่ก็อารมณ์ของเชื่อมอ่ะ ไม่ใช่แยมนะ ก็จะมีกลิ่นของมัน แล้วก็กลิ่นน้ำตาลที่เกาะอยู่บนของกินอ่ะ ประมาณนั้น ก็แปลกดี แต่ก็ไม่ได้ชอบอะไรเท่าไหร่ จานนี้ 25 ลารี ก็ประมาณ 300 บาท 
3. จริงๆคือสั่ง Tea with clown and cinnamon ไปใช่มะ แต่เหมือนเค้าเอามาให้ผิด น่าจะกิน Tusheti tea ไป ถ้าดูตามราคา เพราะไอ้ที่สั่งมามันไม่ได้มีความชินนามอนตรงไหนเลยยยย เหมือนชาสมุนไพร svaneti มากกว่า เรียกพนักงานมาถามอีก ด้วยความสงสัยว่าไอ้ชาที่กินเนี่ย มันเป็นอย่างเดียวกับชาของ Svaneti รึเปล่าคะ กลิ่นมันคล้ายๆกันเลย เค้าบอกว่ามันไม่ใช่ชานะ มันคือ herb ก็ตะหงิดๆละ กูว่ากูสั่งชาไปนะ เค้าบอกว่ามันเป็นสมุนไพรภูเขา (สมุนไพรภูเขาอีกแล้ว) ที่ขึ้นอยู่แถวๆ Tusheti ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ากลิ่นมันอาจจะคล้ายๆกัน พอเช็คบิลเท่านั้นแหละ รู้เลย เอาชามาให้กูผิดอัน แต่ไม่เป็นไร กินไปแล้ว อันนี้ก็หอมดีด้วย ทั้งหมดนี่ก็ 77 ลารี ประมาณ 950 ได้ แล้วเศษตังมันเหลือ เลยให้ทิปไป 3 ลารี คนสวยใจดีไปอีก 

อ่านไปอ่านมา ทำไมตอนที่กูพูดถึงของกิน รู้สึกจะมีความเพลิดเพลินในการบรรยายมากกว่าตอนบอกว่าไปนั่นไปนี่ 55555 ตลกตัวเอง 






แถวนี้เรียก Marjanishvili เพิ่งได้มาวันนี้แหละ ตอนแรกคิดว่าสวยพอๆกับแถวๆ Rustaveli แต่ดูไปดูมา แถวนั้นก็ยังสวยกว่าอยู่ดี


ถึงที่พักแล้วค่ะ Female dorm ในราคา 123 บาท อันนี้ดี ชอบ ถ้าเทียบกับที่พักคืนแรกราคาแพงเป็น 2 เท่าแล้ว ที่นี่ถูกและดีกว่าเยอะ อันนี้คือ Lit hostel ส่วนอันที่เราไม่ชอบ เราไม่บอกชื่อ 

วันที่ 29 ธันวาคม 2561


แถวๆที่พัก 


อันนี้ซื้อมาจาก station square มั๊ง 30 บาท อันใหญ่ดี หิวไง เลยกินหมดเลย กินเสร็จก็นึกขึ้นได้ อีเหี้ย ถ้าปวดขี้ ขี้แตกทำไงวะ 
ตั้งแต่มาเที่ยวนี่ ขึ้นรถไฟเกือบจะทุกวัน มีวันไหนที่ตูดไม่ได้อยู่บนเบาะรถไฟบ้างนึกก่อน 25, 26, 27, 28 อยู่แม่งทุกวัน อยู่มากอยู่น้อยแล้วแต่วัน เล่าเรื่องรถไฟนิดนึง คือพักอยู่ Liberty square ใช่มะวันแรก ก็นั่งรถไฟใต้ดินไปลง station square แล้วก็เดินไกลมาก เกือบ 1 km. ตอนนี้ก็ยังคิดอยู่ว่าหรือออกทางออกผิด ไอ้ไกลไม่เท่าไหร่ ยังเปลี่ยวมากอีกต่างหาก แล้วรถไฟรอบ 06:40 งี๊ ยังมืดอยู่เลย ก็รีบๆเดิน ก้มหน้าก้มตาอย่างเดียว วันหลังๆก็ดีขึ้น เพราะออกสาย มันเริ่มสว่างแล้ว เดินได้แบบสบายใจขึ้นมานิดนึง วันแรกที่ไปอ่ะ มันมืด แล้วข้างหน้าก็มีขอทาน จะดีเพรสแล้ว จะเอาไง จะไปหรือจะกลับ แต่นึกถึงรถไฟสายที่ไป Bakuriani แล้ว เอาวะ ไปวะ 



อ่านรีวิวมา น้ำลูกแพร์ขวดเขียว ก็น้ำเขียวอ่ะ น้ำเขียวโซดา เค้าบอกว่าอร่อย หรือมันไม่ใช่หน้าตาแบบนี้ ไม่ชอบอ่ะ เฉยๆ กินน้ำแร่ที่นี่ดีกว่า ถูกกว่าน้ำแร่บ้านเราอีก




ถึงแล้วจ้า Gori หลับมาบนรถไฟนั่นแหละ กินเสร็จแล้วก็นอน พอถึงคนตรวจตั๋วก็มาเรียกว่าถึงแล้ว ยูลงตรงนี้ลงไปก็แบบ อีเหี้ย ไม่มีเหี้ยไรเลย ไม่มีเหี้ยไรเลย ไม่มีเหี้ยไรเลย ยังดีที่ตรงชานชาลามีคน ก็เลยไม่ได้น่ากลัวอะไรมาก จำได้ลางๆว่า คนเค้าก็รีวิวว่ามาเที่ยวที่นี่กันนี่หว่า แล้วเค้าไปตรงไหน ไปยังไงกันวะ คือกูรู้สึก insecure อีกแล้ว ก็คิดนะว่ามาเที่ยวคนเดียวก็ต้องมีสติ แต่นี่แม่ง ใช้สติเปลืองมาก ก็เลยลองๆเดินไปเรื่อยๆ เจอผญคนนึงยืนรอรถอยู่ เลยถามว่าจะขึ้นรถไป Mtskheta ไปทางไหน คือกะว่าไม่อยู่แล้ว ไปที่อื่นเลย เค้าก็บอกว่าเค้ารอรถอยู่เหมือนกัน แต่รถที่เค้าจะขึ้นนี่ มันไม่ผ่านหรอก แต่เดี๋ยวขึ้นไปคันเดียวกับเค้า แล้วเดี๋ยวเค้าบอกคนขับรถให้จอดลงตรงท่ารถให้ ก็โอเค ขอบคุณค่ะ ก็ขึ้นรถไปกับเค้า รถก็ขับไปรอบเมือง ดูนั่นดูนี่ พอมาถึงท่ารถก็อ้อ อยู่ตรงนี้นี่เอง แล้วข้างๆแถวๆนั้นเหมือนเป็นตลาด อารมณ์เหมือนถ้าไปทางเหนือแล้วจะมีของขายตามข้างทาง ชอบอยู่แล้วไง ก็เลยเดินดู มีของกิน มีผลไม้ มีเค้ก มีขนม โอ๊ย ของกินเพียบ แต่มันเป็นแบบใหญ่ๆ เยอะๆ ซื้อมาก็ไม่รู้ว่าจะอร่ยรึเปล่า มาเจอร้านลุงนี่ขายกาแฟ เลยเดินไปถามว่าขายยังไง โลละกี่บาท ลุงบอก โลละ 16 ลารี งั๊นเอาครึ่งโล ลุงก็บดให้ แล้วอยู่ดีๆก็นึกได้ว่าเอ๊ย ลองไปแบบไม่บดไปให้พี่ที่ร้านกาแฟลองบดเองดีมั๊ย เผื่อทำอย่างอื่นกินได้มากกว่าเอสเพรสโซ่ ก็เลยบอกลุงเอาครึ่งๆ บดกับไม่บดอย่างละ 0.25 กิโลกรัม กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง ทุลักทุเลมาก แต่ก็สนุกดี ก่อนกลับขอถ่ายรูปลุงมาด้วย ซื้อมา 8 ลารีก็ 100 นึงมั๊ง ครึ่งโล เอากลับมาลองทำกับเครื่อง minipresso ที่บ้าน กดไม่ออกจ้า มันตัน ละเอียดเกินไป ดริปก็ไม่ลง ไม่รู้ว่าถ้าทำกับเครื่องทำเอสเพรสโซ่ที่แพงๆจะได้มั๊ย แต่เอาไปต้มใช้เครื่องไซฟ่อน belgian balancer อะไรซักอย่าง อันนั้นก็ทำได้อยู่นะ เมล็ดกาแฟที่เค้าขาย เค้าขายผสมๆกัน คั่วเข้มบ้าง กลางบ้าง อ่อนบ้าง ปนๆกันไป 


ขึ้นรถไป Mtskheta 3 ลารีมั๊ง ตอนใกล้ๆจะถึง เห็นคนลงข้างทาง แล้วถนนเป็นแบบนี้อ่ะ เหมือนบายพาสบ้านเรา แล้วกูจะไปยังไงต่อวะ หรือจะบอกเค้าว่า ไปลง Tbilisi เลยค่ะ ต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่คะ แต่ในระหว่างที่คิดและยังคิดไม่ตกนั้น ก็ถึงพอดีจ้า คนขับก็ประมาณว่า ถึงแล้ว ลงนี่แหละ หันไปทุกคนในรถก็ทำหน้า encourage ให้กูลง แต่มองไปข้างทางแล้วไม่มีอะไรเลยอีกแล้ว เอาวะ ลงก็ลง แล้วกูจะไปยังไงต่อเนี่ย คิดในใจ แถวนั้นมี taxi พอดี เลยเปิดรูปให้ดูว่าจะไปตรงนี้ กี่บาท เค้าก็บอก 5 ลารี เออ ไปก็ไป แล้วเค้าก็ขับไปส่งเหมือนเป็นหน้าซอย แต่ตอนนั้นน่าจะหิวมากเลย อาจจะเริ่มหงุดหงิดแบบ ไหนวะ กูให้พามานี่ มึงพามาที่ไหน กูไม่ไปแล้ว กูจะหาข้าวกิน เลยเดินหาร้านที่เปิดอยู่แถวนั้น 




ได้กินแล้ว Khachapuri อยู่มาวันสุดท้ายกว่าจะได้กิน มันอร่อยอยู่นะ ถ้าหิวมากๆต้องกินหมดแน่เลย แต่ตอนนั้นหิวไม่มาก เลยกินได้ไปแค่ครึ่งเดียว ก็อย่างที่เห็นในรูปอ่ะ เป็นขนมปัง มีชีสมีไข่ มีเนย ขนมปังอาจจะหมักเองรึเปล่า กลิ่นยีสต์ยังชัดอยู่เลย ชีสนี่ยืดนิดหน่อย ไม่น่าใช่ mozzarella เลยไปเปิดหา ก็ไม่ใช่ mozzarella แหละ เป็นชีสจอร์เจีย จำชื่อไม่ได้ ปกติจะเป็นคนที่ไม่ชอบกลิ่นของไข่แดง รู้สึกว่ามันคาว แต่อันนี้พอคลุกๆ กินๆไป ไม่ได้กลิ่นคาวไข่เลย ดีเหมือนกัน อันนี้ 12 ลารี ก็ประมาณ 150 บาท มันคงจะเป็นไซส์ใหญ่ด้วยมั๊ง 













พออิ่มแล้วก็เลยมีแรงเดินหาละ ว่าคนเค้าไปเที่ยวตรงไหนกันวะที่นี่ กว่าจะเจอเป็นโบสถ์อะไรซักอย่าง ไหนๆก็มาแล้ว เดินเข้าไปดูซักหน่อย จริงๆก็เรียนโรงเรียนคริสต์มาจนจบม.6 แต่อาจจะเป็นโรงเรียนคาทอลิคมั๊ง อันนี้คนละนิกาย ก็เลยไม่ค่อยคุ้น ไม่ค่อยอินเท่าไหร่



ตรงนี้คนมาเที่ยวเยอะเลยแหละ จริงๆควรจะมีรูปมุมสวยๆนะ ที่ให้รู้ว่ามาที่นี่แล้ว แต่ตอนนั้นหนาวด้วยมั๊ง ไม่ก็ขี้เกียจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย เลยได้มาแค่เนี๊ย ราสพ์เบอร์รี่กับอันบน คนขายบอกมันเรียกว่า บาบาเบอร์รี่ คือเข้าไปหาในกูเกิ้ล ไม่เจอ อีบาบาเบอร์รี่อะไรเนี่ย เจอแต่ barberry ซึ่งรูปมันก็ไม่ได้เหมือนไอ้ที่ถ่ายมาเลย ราสพ์เบอร์รี่อ่ะ 10 ลารี ส่วน something berry นั่น 3 ลารี มาอัพเดท รู้ละว่าไอ้ลูกที่อยู่บนกิ่งๆนั่นเรียกอะไร น่าจะเป็น red currant นะ


เดินมารอรถกลับแถวนี้อ่ะ สวยดี เลยถ่ายเก็บไว้ เจอคนไทยอีกแล้ว เป็นคุณลูกพาคุณแม่มาเที่ยว น่ารักจัง รอบนี้หารค่ารถกลับกับคนเกาหลีและคนไทย รวมทั้งหมด 6 คน เค้าเหมา 30 ลารี ก็คนละ 5 ลารี เออ จริงๆจองรถไฟกลับเอาไว้นะ แต่ขี้เกียจรอเวลาละ ไม่มีอะไรทำ จะรีบกลับ Tbilisi ไปหาซื้อของฝากด้วย 




กลับมาถึง Tbilisi แล้วค่ะ และนี่คือร้านสุดท้ายในลิสต์ของเราที่เล็งไว้ว่าจะมา จริงๆจะมาตั้งแต่เช้าวันนี้แล้ว แต่กลัวไปขึ้นรถไฟไม่ทัน เอาจริงๆ วันนี้น่านอนตื่นสายๆ แล้วหาร้านนั่งกินข้าวชิลๆ Gori กับ Mstketa ไม่ได้ถูกจริตเราเท่าไหร่ หลายๆที่นะ ที่เราก็ไม่ได้ไป แล้วก็ไม่เสียดายด้วยที่ไม่ได้ไป บางที่ไปมาแล้วยังเสียดายเลย อย่างวันนี้ อีเหี้ย เสียดายเวลานอน 5555555 ร้านนี้คือ Entrée ใน IG รูปคือน่ากินหลายอย่างมาก แต่อาจจะมาถึงเย็นแล้วด้วยมั๊ง ของกินเลยมีประมาณนี้ สั่งทีรามิสุกับคาปูชิโน่มากิน มื้อนี้ก็ 150 บาท โดยประมาณ ก็นั่งแช่ไปซักพัก ชาร์ตแบตโทรศัพท์ก่อนออกไปหาซื้อของฝาก ร้านนี้มีหลายสาขานะ แต่วันนั้นที่ไปกินเป็นที่เดินมาจาก Liberty square เพราะกะว่าจะไปหาซื้อของฝากแถวนั้น



ก็ซื้อไวน์กลับไปอ่ะแหละ 4 ขวด จะเอาไปทำ glint wine กว่าจะคุยรู้เรื่อง ไม่ได้เข้าไปร้านไวน์หรูๆนะ ไปร้านเหมือนร้านขายส่งแถวบ้านเราอ่ะ เค้าก็แนะนำแหละว่าอันนี้อร่อย อันนี้ดี แต่เราบอกว่า จะเอาอันที่มันเอามาทำ glint wine ได้ ตอนนั้นไม่มีความรู้ไง ว่ามันมีกี่แบบอะไรบ้าง แบบ dry, sweet, semi-sweet อะไรแบบนี้ สรุปก็ได้ semi-sweet มาในราคาขวดละเกือบๆ 120 บาท หิ้วแขนจะหักเลยกู แล้วก็ซื้อชอคโกแลตเล็กๆน้อยๆเผื่อเป็นของฝากเพื่อนอันน้อยนิดที่มีอยู่ เหมือนจะไม่เจอที่ made in Georgia เลยนะ made in Russia ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ซื้อๆมาแหละ ซื้อให้รู้ว่าซื้อ ส่วนรูปที่ถ่ายมานี่ เป็นร้านชีส ชีสดังใช่มั๊ย ซื้อกลับบ้านพอเป็นพิธี เลยซื้อชีสไวน์มา อันม่วงๆข้างในสุดตรงกลางค่อนไปทางขวา





และแล้วก็มาถึงภารกิจสุดท้ายก่อนกลับ ที่เราตั้งใจไว้ นั่นก็คือการมาดูโอเปร่านั่นเอง เค้าเริ่มตอน 19:00 น. เราก็มาก่อนเวลานิดหน่อย


ซื้อตั๋วออนไลน์มา ก็เปิดให้เค้าดูจากในโทรศพท์ ต้องเป็นหน้าที่มีบาร์โค๊ดอ่ะ เค้าก็จะแสกนบาร์โค๊ด แล้วเราก็จะเข้าไปได้ คนเยอะอยู่เหมือนกัน เห็นมีคนก่อนหน้า ซื้อตั๋วออนไลน์มาเหมือนกัน แต่เปิดหน้าผิดให้เค้าดู เค้าก็เลยยังไม่ให้เข้าซักที เข้าไปแล้ว เดินเลี้ยวซ้ายไป จะเป็นที่ฝากของ ฝากเสื้อคลุม ฝากกระเป๋า ติดตัวไปแค่ของที่จำเป็น เงิน กระเป๋าตัง บัตรประชาชน พาสปอร์ตไรงี๊ 




และนี่ก็คือบรรยากาศข้างใน เพิ่งเคยเห็นของจริงก็วันนี้ ดูในหนังบ้าง ในการ์ตูนบ้าง ไม่รู้ว่าในไทยมีรึเปล่า แต่คิดว่าถึงมีก็คงไม่ใช่ตั๋วราคา 140 บาทแน่นอน


https://tkt.ge/en/opera อันนี้คือเว็บไซต์สำหรับจองตั๋วนะ แล้วอันนี้ก็คือ สูจิบัตรป่ะ? เค้าเรียกอะไร ไม่ใช่ของเราหรอก ของคนข้างๆ ดูจบตอนแรกเค้าก็ไป เราเลยเก็บมาเป็นของตัวเองเลย ไม่ได้ไปรับแจกไง รีบจัด 



เค้าบอกว่าตอนทำการแสดงอยู่ ห้ามถ่ายรูป ห้ามถ่ายวิดีโอ ก็ทำตามแหละ เลยถ่ายมาได้นิดนึงตอนเค้าแสดงจบ การแสดงใช้เวลา 3 ชม. รอบแรก 1 ชม. พัก 15 นาที รอบสอง 20 หรือ 30 นาทีนี่แหละ แล้วก็พัก แล้วรอบสุดท้ายก็จบเลย เค้าเริ่มตอน 19:15 ก็จบตอน 22:15 พอดี เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรก็ไม่รู้ ตอนแรกๆดูไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก ดูออกตอนท้ายๆ เหมือนผญมันมีผัวใหม่รึเปล่าไม่แน่ใจ แล้วผชที่เป็นแฟนเก่ามาหา ผญก็สะดีดสะดิ้ง แล้วเหมือนผัวเก่าจับได้ เลยส่งคนไปพระราชทานปืนให้แฟนเก่า เจออีกทีคืออีแฟนเก่ายิงตัวตายไปละ อีผญมาเจอก็ร้องห่มร้องไห้ คืออาลัยอาวรกันอยู่นานมาก กว่าผชจะตาย 


ตั๋วหน้าตาแบบนี้ แล้ว Werther ก็คือชื่อเรื่อง ที่ๆเรานั่งคือตั๋วราคาถูกสุด อยู่ชั้นบนสุด เก้าอี้ตัวที่ 4 นับจากตัวแรก ตอนดูก็ต้องชะโงกหน้าลงไปดู แต่นั่นก็ไม่ได้ลำบากเท่าไหร่ มองบรรยากาศรอบๆชัดดีด้วย



ถ่ายข้างหน้ามาอีกนิดนึง ยังประทับใจอยู่เลย ประทับใจในราคา 5555


และแล้วก็ถึงเวลาขึ้นรถเมล์กลับสนามบิน เดินตรงขึ้นมาไปตรงทางลอด แล้วก็มาโผล่รอขึ้นรถอีกฝั่งนึง หลัง 4 ทุ่ม google map จะขึ้นรถเมล์สาย 37 ที่จะไปสบามบินว่า 137 ป้ายตรงถนนก็จะขึ้นว่า 137 เหมือนกัน แต่เลขตรงหน้ารถก็จะยัง 37 เหมือนเดิมอ่ะแหละ แต่ในรูปที่ถ่ายมาคือยังไม่ได้ข้ามฝั่งไปไง เข้าใจผิดคิดว่ารอฝั่งไหนเค้าก็วนๆมาเหมือนกัน

วันที่ 30 ธันวาคม 2561


ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็ถึงสนามบิน วันนี้เป็นอะไรที่ผ่านไปไวมาก น่าจะเป็นเพราะตอนเย็น รีบซื้อของฝาก แล้วก็ต้องรีบมาดูโอเปร่าต่อ ชั่งนน.กระเป๋าได้ 9 kg โห แค่นี้เอง ทำไมกูหนักจังวะ ตอนมาก็มา 3 โลได้มั๊ง เอาเสื้อฮีทเทคฟลีซมาตัวนึง แล้วก็ซักสลับใส่กับตัวที่ใส่อยู่ เลคกิ้งฮีทเทคตัวนึง กางเกงผ้าฟลีซกันลมตัวนึง ถุงเท้าฮีทเทค ผ้าพันคอฮีทเทค ใส่ไป 6-7 วัน ท่อนบนนี่สบายๆเลย ส่วนท่อนล่าง ตอนลมมาเย็นๆก็วาบๆเหมือนกัน แต่ตอนแรกก็คิดว่าน่าจะทนไม่ได้มากกว่านี้ ส่วนรองเท้า skechers เดินสบ๊าย เดินบนถนนอ่ะ สบ๊าย แต่มันไม่ได้สำหรับเดินลุยหิมะไง ก็ไม่ได้คิดว่าจะเจอหิมะเยอะแบบนี้ ต้องคอยกระดิกนิ้วดูว่า นิ้วเท้าก็ยังอยู่ใช่มั๊ย 


อันนี้เป็นอาหารวีแก้นของ qatar airways




อาหารที่นี่เยอะดี อิ่มดี ส่วนขนมอร่อยเลยอ่ะ เป็น lemon sponge หรือไงนี่แหละ หอมเลมอน เค้กเนื้อนิ่ม อุ่นมาร้อนๆด้วย พูดแล้วก็อยากกิน หาเวลาทำบ้างดีกว่า เออ แอบเสียดาย จริงๆอยากซื้อเลมอนกลับมาด้วย แต่ตอนเย็นไม่เห็นเค้าขายเลยอดเลย เฮ้อ


เค้าวนอยู่ตรงนี้ 3 รอบ เลยถ่ายรูปเก็บไว้ ก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าวนทำไม ไม่ได้ถาม เพราะก็ไม่รู้ว่าจะถามว่าอะไรด้วย




กลับมาทำ Glint wine กินที่บ้าน ที่บ้านชอบกันใหญ่เลย อิอิ
เที่ยวอยู่ใน จอร์เจียทั้งหมด 6 วัน ก็ตามที่เห็น ไปอย่างที่เห็น กินอย่างที่เห็น หมดไปหมื่นนึง รวมทุกอย่าง รวมซื้อของฝาก ซื้อนั่นซื้อนี่แล้วด้วยนะ เอาจริงๆ ของที่นี่ไม่แพงเลยยยย ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องใช้ให้ถูกที่สุดนะ 

มาพูดถึง new year’s resolution ต่อ ทุกอย่างเป็นจริง คือเป็นจริงในปี 2018 มีงานทำ คือมีงานทำถึงสิ้นปี 2018 พอปี 2019 ก็ตกงานเหมือนเดิม 55555555 

สุดท้ายแล้ว Happy new year กันนะคะทุกคน อย่าลืม make a wish ล่ะ แล้วใส่เงื่อนไขไปด้วยว่าให้พรนี้อยู่ไปเป็นเวลาเท่าไหร่ 55555555 มีความสุขทุกคนค่ะ บ๊ายบาย


Comments